วารสารคณะศิลปศาสตร์
Liberal Arts journal
ประชุมกองบรรณาธิการวารสารคณะศิลปศาสตร์ ครั้งที่ 1
วันที่ 18 กรกฎาคม 2555 เวลา 14.00-15.00 น.กองบรรณาธิการวารสารคณะศิลปศาสตร์ จัดประชุมครั้งที่ 1 เพื่อประชุมขับเคลื่อนการจัดทำวารสารคณะศิลปศาสตร์ ภายใต้ theme ความหลากหลายทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ความก้าวหน้าในการดำเนินงานอยู่ระหว่างการรวบรวมผลงานทางวิชาการเพื่อจัดตีพิมพ์ในวารสารฯ  นอกจากนี้ ยังมีความต้องการบทความทางด้านภาษาและการสื่อสารเพิ่มเติม หากบุคลากรท่านใดมีความสนใจเผยแพร่ผลงานวิชาการในวารสารฯ สามารถส่งบทความได้ที่กองบรรณาธิการวารสารคณะศิลปศาสตร์ หมายเลข 053875730 ต่อ 123 , 137 ผลงานดังกล่าวจะได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกและถูกตีพิมพ์ในปักษ์แรก (เดือนมกราคม-มิถุนายน 2555) นี้
3 ธันวาคม 2556     |      5813
บทความทางวิชาการ
ประวัติข่วงสิงห์กิติพงษ์  ขัติยะ “ข่วงสิงห์”  หรือที่ชาวบ้านเรียกกันทั่วไปว่า “คุ้มสิงห์” เป็นโบราณสถาน ตั้งอยู่ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ จากสี่แยกข่วงสิงห์ มุ่งหน้าเดินทางไปตามถนนเชียงใหม่แม่ริม (ถนนโชตนา) ประมาณ 150 เมตรแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนโชตนา ซอย 1 (ข้างโรงเรียนวัดข่วงสิงห์) ไปอีกประมาณ 100 เมตร ก็จะพบโบราณสถาน “ข่วงสิงห์” ซึ่งกรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติไว้แล้ว เป็นสิ่งก่อสร้างลักษณะรูปสิงห์คู่ มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของเมืองเชียงใหม่ โดยได้ประกาศขึ้นทะเบียนในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 52  ตอนที่ 75 ลงวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2478 (กองโบราณคดี มปป. : 55)        อายุสมัยของการก่อสร้างข่วงสิงห์ สร้างขึ้นเมื่อจูลศักราช 1163 พ.ศ. 2344 ปีระกาตรีศกเดือน 4 เหนือขึ้น 12 ค่ำ พ่อเจ้ากาวิละเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ พระองค์แรก (พ.ศ.2325-2356) ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ได้โปรดให้สร้างสิงห์ปูนปั้นสีขาวยืนขึ้นไว้คู่หนึ่ง ตัวหนึ่งหันหน้าไปทางทิศเหนือ อีกตัวหนึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ณ ที่อันเป็นบริเวณโล่งเตียนกว้างขวางอยู่ทางทิศเหนือของตัวเมืองเชียงใหม่ เมื่อสร้างเสร็จแล้ว จึงทำพิธีอันเชิญ เทพยดาอารักษ์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้มาสิงสถิตย์ อยู่ ณ ที่นี้ ตาม คัมภีร์ลานทองของเมืองเชียงใหม่ เขียนไว้ว่า “พระยากาวิละสร้างรูปสิงห์คู่นี้ไว้เป็นสีหนาทแก่เมือง” (กองโบราณคดี มปป. : 55) คราวใดเมื่อจะยกทัพไปต่อสู้กับข้าศึกที่มารุกราน หรือเพื่อแผ่อานุภาพออกไป ก็ได้ยกทัพมาหยุด ณ สถานที่แห่งนี้ เพื่อกระทำอันเป็นมงคลต่างๆ แก่กองทัพเป็นประจำ ซึ่งต่อมาสถานที่แห่งนี้จึงได้ชื่อว่า “ข่วงสิงห์ชัยมงคล” และต่อมาได้เรียกชื่อให้สั้นลง ว่า “ข่วงสิงห์” และในสมัยของเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ลำดับที่ 7 (พ.ศ.2416-2439) ได้โปรดให้สร้างวัดขึ้นไว้บริเวณใกล้กันหนึ่งวัด คือ “วัดข่วงสิงห์ชัยมงคล” ปัจจุบัน คือ “วัดข่วงสิงห์”ประวัติการสร้างประติมากรรมรูปสิงห์        นับตั้งแต่อาณาจักรล้านนาเสียเมืองให้แก่ พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองกษัตริย์แห่งพม่าเมื่อ พ.ศ. 2101 พระองค์ได้วางแผนปกครองล้านนาอย่างสันติ พระพุทธศาสนา และลัทธิธรรมเนียมพม่า ก็เข้ามามีอิทธิพลในล้านนาไทย ชาวล้านนาและชาวพม่า ต่างนับถือศาสนาพุทธด้วยกัน จึงมีความผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมเป็นอย่างดี สิ่งที่สะท้อนอิทธิพลของพม่าอย่างชัดเจนได้แก่ การสร้างสิงห์ที่ประตูวัด พิธีฟ้อนผีมดผีเม็ง การบวชลูกแก้ว เป็นต้น (คณะอนุกรรมการด้านการศาสนา งานสมโภชเชียงใหม่ 700ปี 2540 : 75)        สำหรับสิงห์โตขนาดใหญ่ที่สร้างไว้ที่ปากทางเข้าวัดนั้นสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงอธิบายว่า...พระเจดีย์ที่สำคัญในเมืองพม่ามักจะมีรูปสิงห์โตตัวใหญ่อยู่สองข้างปากทางเข้าบริเวณทุกแห่ง การที่ทำรูปสิงห์ตั้งประจำปากทางดูประหลาด ที่ชอบทำกันทั้งจีน เขมร และชวา ไม่แต่พม่าเท่านั้นสิงห์ก็คือ ราชสีห์นั้นเอง ในเมืองไทยแต่โบราณก็ชอบทำรูปสิงห์ตั้งปากทาง แต่มักทำรูปสิงห์แบบเขมร หรือมิฉะนั้นก็เอาสิงห์โตหินของจีนมาตั้ง ที่เห็นทำรูปหล่อเป็นสิงห์ไทยมีแห่งเดียวที่วัดพระเชตุพน เป็นของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประดิษฐ์ขึ้น น่าจะเป็นพระราชปรารภว่าสิงห์แบบไทยยังไม่มีใครทำมาแต่ก่อน...(สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ อ้างถึงในกองโบราณคดี กรมศิลปากร 2534 : 76) เค้ามูลของรูปสิงห์ซึ่งตั้งปากทางขึ้นบันไดนั้น เดิมมีราชสีห์ตัวหนึ่งลักราชธิดาของพระยา มหากษัตริย์ อันมีลูกยังเป็นทารกติดไปด้วย 2 คน เอาไปเลี้ยงไว้ (เป็นเค้าเรื่องเดียวกับเรื่องสีหพาหุ ในหนังสือมหาวงค์ พงศาวดารลังกา) ครั้นลูกชายเติบใหญ่ได้พาแม่กับน้องหญิงกลับมาอยู่ในเมืองมนุษย์ฝ่ายราชสีห์เที่ยวติดตาม พบผู้คนกีดขวางก็ได้กัดตายเสียเป็นอันมากจนร้อนถึงพระยามหากษัตริย์ สั่งให้ประกาศหาคนปราบราชสีห์ กุมารนั้นเข้ารับอาสาออกไปรบราชสีห์ ยิงศรไปทีไรก็เผอิญผิดพลาดไม่สามารถฆ่าราชสีห์ได้ ฝ่ายราชสีห์ก็ยังสงสารกุมารไม่แผดเสียงให้หูดับต่อสู้กันจนราชสีห์เกิดโทสะอ้าปากแผดเสียง กุมารก็เอาศรยิงกรอกทางช่องปากฆ่าราชสีห์ตาย ได้บำเหน็จมียศศักดิ์จนได้ครองเมืองเมื่อภายหลัง แต่เมื่อครองเมืองเกิดอาการปวดหัวเป็นกำลัง แก้ไขอย่างไรก็ไม่หายจึงปรึกษาปุโรหิต ปุโรหิตทูลว่าเป็นเพราะบาปกรรมที่ได้ฆ่าราชสีห์ผู้มีคุณมาแต่หลัง ต้องทำรูปราชสีห์บูชาล้างบาปจึงจะหายโรคพระมหากษัตริย์นั้นจะทำรูปสัตว์เดรัจฉาน ขึ้นบูชาก็นึกละอายจึงให้สร้างรูปราชสีห์ขึ้นฝากไว้กับเจดีย์สถานที่บูชา เลยเป็นประเพณีสืบมา...(กองโบราณคดี กรมศิลปกร  2534 : 76)การบูรณปฏิสังขรณ์ข่วงสิงห์        ประวัติการบูรณะข่วงสิงห์ ช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2358 – 2364 สมัยพระเจ้าช้างเผือกธรรมลังกา เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 2 พระอนุชาของพระเจ้ากาวิละพระองค์ทรงฟื้นฟูบูรณปฏิสังขรณ์โบราณสถานข่วงสิงห์ และข่วงช้างเผือกอันเป็นสีหนาทเมือง (ปราณี ศิริธร ณ พัทลุง 2538 : 63)       เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2520 ศรัทธาประชาชน พระอธิการบุญปั๋น  ปัญญาธโร (พระครูพิศิษฏ์พิพิธการ) และสามเณรวัดข่วงสิงห์ พร้อมด้วยกำนันแก้ว จอมสุรีย์ กำนันตำบลช้างเผือก ได้ร่วมแรงร่วมใจกันสละทรัพย์และแรงงาน บูรณะก่อสร้างกำแพงแก้วด้วยศิลาแลงล้อมรอบ บริเวณข่วงสิงห์ แทนของเก่าที่ชำรุดเสียหาย สิ้นทุนทรัพย์และแรงงานคิดเป็นเงิน 16,631บาท (จากข้อความจารึกบนแผ่นป้ายที่ข่วงสิงห์ พ.ศ.2546)      เมื่อครั้งฉลองเมืองเชียงใหม่ 700 ปี พ.ศ.2539 หน่วยงานภาครัฐและเอกชนได้ร่วมกันบูรณะซ่อมแซมข่วงสิงห์พร้อมกับปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบด้วยการขุดลอกคูน้ำล้อมรอบ แล้วยกพื้นก่ออิฐถือปูนเป็นลานกว้างมีบันไดทางขึ้นอยู่ด้านหน้าทิศตะวันออก (จากข้อความจารึกบนแผ่นป้ายที่ข่วงสิงห์ พ.ศ.2555)     จะเห็นได้ว่าข่วงสิงห์ ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์จากภาครัฐ ภาคเอกชนและพระภิกษุสงฆ์สามเณรเสมอมา โบราณสถานข่วงสิงห์ ถือเป็นเสมือนสมบัติส่วนรวมของชาติ ที่ควรอนุรักษ์และกระตุ้นให้บุคคลเกิดจิตสำนึกในเรื่องการเป็นเจ้าของและเกิดความรู้สึกหวงแหนห่วงใยในสมบัติอันเป็นส่วนรวม  ให้เป็นมรดกตกทอดไปยังอนุชนรุ่นหลังสืบไปการฟ้อนประเพณีที่ข่วงสิงห์ (คุ้มสิงห์)    ที่ข่วงสิงห์ทุกปีจะมีพิธีฟ้อนประเพณี ในเดือน 9 เหนือ แรม 12 ค่ำ ซึ่งเป็นการฟ้อนเพื่อบวงสรวงเทพยดาอารักษ์ และสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่สิงสถิตย์อยู่ที่ข่วงสิงห์ (ไม่ใช่การฟ้อนผีมดผีเม็ง) จะมีการจัดเครื่องสักการะได้แก่ พานข้าวตอกดอกไม้ธูปเทียน เครื่องสังเวย ได้แก่ หัวหมู เหล้าขาวเป็นต้น การฟ้อนจะมีเครื่องดนตรีพื้นเมืองประกอบ เช่น กลองเต่งทิ้ง ระนาด แน(ปี่) ฉาบ ฆ้องวงเป็นต้น การแต่งกายของผู้ฟ้อนจะแตกต่างกันไปแล้วแต่เจ้าแต่ละองค์ที่จะเข้าทรง มีทั้งการแต่งกายแบบ มอญ อินเดีย จีน ชาวเขา ฯลฯ     การฟ้อนประเพณีที่ข่วงสิงห์ได้เริ่มมีมาเมื่อแม่อุ้ยคร  เจริญสุข (ม้าขี่ ที่ย่ำทรง หรือ  ร่างทรงเจ้าพ่อสิงห์ด่าน-สิงห์ดุ) ได้ไปบูรณปฏิสังขรณ์และมีการฟ้อนเป็นประเพณีสืบต่อกันมาจน ถึงปัจจุบัน(นายอเนก ตาอ้าย , แม่แสงหล้า  เชื้อขัติ , ครูศรีวรรณ  แก้วคำฟู , พ่อศรีนวล  เครือฟู  2546 : คำสัมภาษณ์)เรื่องราวจากคำสัมภาษณ์            *พ่อหนานบุญปั๋น  มณีวรรณ  ได้เล่าว่า สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีการสร้างซุ้ม (โขง)ของสิงห์ทั้งคู่ โดยพ่อหนานปิง อริยานนท์ จากการที่ผู้เขียนได้พูดคุยกับผู้เฒ่าผู้แก่หลายคน    ท่านก็ได้เห็นสิงห์คู่นี้มีโขงมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว แสดงว่าการที่พ่อหนานปิง ได้สร้างโขงสิงห์ขึ้นนั้นน่าจะเป็นการบูรณปฏิสังขรณ์อีกระยะหนึ่ง            *พ่อหนานอินตา  ดวงงาม ได้เล่าว่าแต่ก่อนการฟ้อนเจ้าทรงจะมีการฟ้อนที่บ้านแม่อุ้ยมูล จันทะ (ม้าขี่ ร่างทรง หรือที่ย่ำทรงของเจ้าพ่อสิงห์โห) ณ ซอยทุ่งเวสาลี สมัยก่อนที่น่าตื่นเต้น คือ เจ้าทรงจะมีการลองคมดาบ คมหอกกัน โดยฟันแทงไปที่ตัวเจ้าทรง            *นายอเนก ตาอ้าย (ม้าขี้เจ้าพ่อสิงห์ด่าน) ได้เล่าว่า แม่อุ้ยมูลเป็นม้าขี้เจ้าพ่อสิงห์โห ซึ่งเป็นพ่อบ้านข่วงสิงห์ และในเดือน 9 เหนือ แรม 12 ค่ำ ของทุกปีจะมีการฟ้อนถวายเพื่อบวงสรวงเทพยดาอารักษ์ที่สิงสถิตย์อยู่ที่ข่วงสิงห์           * แม่อุ้ยเป็ง เครือฟู (ลูกของแม่อุ้ยมูล) จะเป็นตั้งข้าว (ผู้คอยรับใช้) ของเจ้าพ่อสิงห์โห คือเมื่อมีพิธีกรรมอะไรที่เกี่ยวกับข่วงสิงห์เช่นฟ้อนประเพณี ทำพิธีแก้บนให้กับชาวบ้าน แม่อุ้ยเป็ง จะเป็นผู้ตั้งข้าวที่ข่วงสิงห์ เมื่อแม่อุ้ยเป็งเสียชีวิตไปแล้ว แม่แสงหล้า เชื้อขัติ (ลูกสะใภ้) ก็ได้เป็นตั้งข้าวที่ข่วงสิงห์แทน และเป็นตั้งข้าวของเจ้าพ่อสิงห์ผ่านฟ้า           *สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ได้ย้ายจากเมืองมาอยู่ที่วัดข่วงสิงห์และที่ข่วงสิงห์จะเป็นสถานีตำรวจ และที่เก็บเงินของจังหวัด บริเวณหมู่บ้านข่วงสิงห์ จะมีทหารญี่ปุ่นได้มาพักอาศัยอยู่บริเวณนี้ แม่ศรีนวล ไชยทิพย์ (ขัติยะ) เล่าว่ายังเคยได้นำอาหาร ผลไม้ต่างๆ ไปขายให้กับทหารญี่ปุ่นด้วย พ่ออินตุ้ม ขัติยะ ก็ได้เคยเห็นทหารญี่ปุ่นลงไปแช่  น้ำอุ่นในถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร (ชาวญี่ปุ่นชอบแช่ตัวในน้ำอุ่น) พ่อมานิตย์ ศรีสว่าง ได้เล่าว่าสมัยเมื่อเป็นเด็กเคยพบกระดูกทหารญี่ปุ่นที่เสียชีวิต บริเวณโรงเรียนวัดข่วงสิงห์ สมัยนั้นเด็กๆ จะกลัวผีทหารญี่ปุ่นมาก           *พ่อศรีนวล เครือฟู (ลูกของแม่อุ้ยเป็ง) เล่าว่าการฟ้อนที่ข่วงสิงห์แต่เดิมไม่มี เริ่มมีมาเมื่อสมัยแม่อุ้ยศรีคร เจริญสุข (ม้าขี่เจ้าพ่อสิงห์ด่าน-สิงห์ดุ) ได้ไปบูรณปฏิสังขรณ์และเริ่มมีการฟ้อน ขึ้นมาผู้ให้คำสัมภาษณ์                       -          พ่อหนานบุญปั๋น  มณีวรรณ  อายุประมาณ  75  ปี  (เสียชีวิตแล้ว)                       -          พ่อหนานอินตา  ดวงงาม  อายุประมาณ  75  ปี                       -          นายอเนก  ตาอ้าย (ม้าขี่ ที่ย่ำทรง  หรือร่างทรงเจ้าพ่อสิงห์ด่าน) อายุประมาณ 40 ปี                       -          แม่ศรีนวล  ไชยทิพย์  (ขัติยะ)  อายุประมาณ  80  ปี  (เสียชีวิตแล้ว)                       -          พ่อมานิตย์  ศรีสว่าง  อายุประมาณ 69  ปี  (เสียชีวิตแล้ว)                       -          พ่อศรีนวล  เครือฟู  อายุประมาณ 70  ปี                       -          แม่แสงหล้า เชื้อขัติ (ตั้งข้าวเจ้าพ่อสิงห์ผ่านฟ้า) อายุประมาณ70 ปี (เสียชีวิตแล้ว)                       -          ครูศรีวรรณ  แก้วคำฟู (ร่างทรงเจ้าพ่อสิงห์ผ่านฟ้า)  อายุประมาณ  50  ปี                       -          พ่ออินตุ้ม  ขัติยะ  อายุประมาณ  69  ปี  (เสียชีวิตแล้ว)เอกสารอ้างอิงโบราณคดี, กอง .การขึ้นทะเบียนโบราณสถานภาคเหนือ. โครงการสำรวจและขึ้นทะเบียนโบราณสถานภาคเหนือ กรมศิลปกร , มปป.แหล่งประติมากรรมภาคเหนือ. กรุงเทพ : บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งกรุ๊พ จำกัด,  2534.คณะอณุกรรมการด้านการศาสนางานสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี. มรดกศาสนาเชียงใหม่ภาค 1 : ประวัติและพัฒนาการศาสนาในเมือง. เชียงใหม่ : นพบุรีการพิมพ์, 2540ปราณี ศิริธร ณ พัทลุง. เพ็ชร์ลานนา (1). พิมพ์ครั้งที่ 2 เชียงใหม่ : บริษัท นอร์เทิร์น พริ้นติ้ง จำกัด, 2530รูปภาพข่วงสิงห์ในอดีตก่อนปี พ.ศ.2500รูปภาพข่วงสิงห์ในปัจจุบัน พ.ศ.2555
1 มกราคม 2557     |      10938
หนึ่งทศวรรษแห่งพัฒนาการปักขทืนล้านนา
หนึ่งทศวรรษแห่งพัฒนาการปักขทืนล้านนาชยุตภัฎ  คำมูลบทนำคนล้านนา มีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับการประกอบพิธีกรรม ดังจะเห็นได้จากช่วงเวลาต่างๆในรอบปีจะมีการประกอบกิจกรรมและพิธีกรรมมากมาย ซึ่งกิจกรรมและพิธีกรรมหลายอย่างจะจัดขึ้นตามวันเวลาที่เหมาะสม ดังนั้น ปฏิทิน  หรือที่คนล้านนาเรียกว่า “ปักขทืน” ซึ่งเป็นแบบสำหรับดูวัน เดือน ปี จึงมีความผูกพันกับคนล้านนาด้วยเช่นกัน  แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ปักขทืนล้านนาเกือบจะสูญหายไปจากสังคมล้านนา จนกระทั่งเกิดการฟื้นฟูให้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา นับว่าเป็นช่วงที่เห็นพัฒนาการของการฟื้นฟูปักขทืนล้านนาได้ชัดเจนที่สุด  เหตุใดปักขทืนล้านนาจึงเกือบสูญหายไป และได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาได้อย่างไร  ที่สำคัญคือ เมื่อฟื้นฟูขึ้นมาแล้วยังมีรูปแบบเหมือนเดิมหรือไม่ ฟื้นฟูขึ้นมาแล้วมีคุณค่าต่อคนล้านนาอย่างไร  และจะมีการสืบทอดให้คงอยู่ต่อไปได้อย่างไร จึงเป็นประเด็นที่น่าสนใจ    ซึ่งในบทความนี้จะขออธิบายไว้ตามลำดับดังนี้1. ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับปฏิทินคำว่าปฏิทิน มาจากภาษาบาลีสันสกฤต  คือ คำว่า ปฏิ หมายถึง  เฉพาะ  ส่วนคำว่า    ทิน  หมายถึง วัน  ดังนั้น ปฏิทิน จึงหมายถึง แบบสำหรับดูวัน  เดือน ปี ซึ่งในภาษาอังกฤษจะตรงกับคำว่า “Calendar”  ซึ่งเป็นคำที่มาจากภาษาละตินอีกทีหนึ่ง          จากหลักฐานทางโบราณคดี เชื่อกันว่าชนชาติแรกที่คิดค้นระบบการนับวันแบบปฏิทิน คือ ชาวบาบิโลเนีย ต่อมาก็ได้เผยแพร่ไปยังอาณาจักรใกล้เคียงโดยเฉพาะที่อียิปต์ปฏิทินได้รับการนำไปพัฒนาและใช้งานกันอย่างกว้างขวาง จนกระทั่ง 46 ปี ก่อนคริสตกาล จูเลียสซีซาร์ แห่งจักรวรรดิโรมัน ได้เข้าครอบครองอียิปในสมัยของพระนางคลีโอพัตรา และได้ปรับปรุงเป็นปฏิทินจูเลียน  หลังจากนั้น ในสมัยของพระสันตะปาปา เกรกอรี่ ที่ 13 ก็ได้ปรับเป็นปฏิทินเกรกอเรียนและได้รับความนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในยุโรปและได้รับความนิยมเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน          ระบบปฏิทินที่สำคัญมีอยู่ 2 ระบบ คือ ปฏิทินสุริยคติ ที่นับวันเวลาตามการโคจรของดวงอาทิตย์ และปฏิทินจันทรคติที่นับวันเวลาตามการโคจรของดวงจันทร์           ในระบบปฏิทินจะมีชื่อเรียกศักราช หรือ ปี อย่างหลากหลาย ที่สำคัญๆ เช่น-พุทธศักราช    เริ่มนับตั้งแต่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน-คริสต์ศักราช   รับนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 543  ซึ่งเป็นปีที่พระเยซูคริสต์ประสูติ-มหาศักราช     เริ่มนับตั้งแต่ปี พ.ศ.  621  ตั้งขึ้นโดยพระเจ้ากนิษกะของอินเดีย-ฮิจญ์เราะห์ศักราช เริ่มนับตั้งแต่ปี พ.ศ.  1165  ตามปีที่ท่านนบีมูฮัมมัดอพยพจากเมืองเมกกะไปยังเมืองเมดินา-จุลศักราช       เริ่มนับตั้งแต่ปี พ.ศ.  1181  เริ่มนับตั้งแต่ปี พ.ศ.  1181  ตามการตัดศักราชของพระเจ้าสุริยวิกรม กษัตริย์พม่า-รัตนโกสินทรศก  เริ่มนับตั้งแต่ปี พ.ศ.  2325 ตรงกับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์2.  ปฏิทินไทยระบบปฏิทินของไทยเริ่มมีหลักฐานปรากฏตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยนับแบบปฏิทินจันทรคติ หากเป็นการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรนับปีเป็นมหาศักราชและจุลศักราชเรื่อยมาตามลำดับ แต่หากใช้พูดจาในชีวิตประจำวันนิยมนับเป็นปีนักษัตร  การเริ่มต้นปีใหม่ เดิม เริ่มที่แรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย ต่อมาเปลี่ยนเป็น ขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 และเป็นช่วงสงกรานต์ตามลำดับ จนกระทั่งถึงยุครัตนโกสิทร์ตรงกับ       รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ได้โปรดให้ใช้ปฏิทินแบบสากลหรือปฏิทินแบบแกรกอเรียนซึ่งเป็นปฏิทินแบบสุริยคติแทน  แต่ไม่ได้นับปีเป็นคริสตศักราช  แต่นับเป็นรัตนโกสิทร์ศกแทน วันขึ้นปีใหม่จะตรงกับวันที่ 1 เดือนเมษายน  จนกระทั่งในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ได้โปรดให้ใช้ปีพุทธศักราชแทนรัตนโกสินทร์ศก  ต่อในปีพุทธศักราช 2484  สมัยของจอมพลป.พิบูลย์สงคราม ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคมตามสากลและใช้กันเรื่อยมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน3.  ปักขทืนล้านนาในอดีตจากหลักฐานที่ปรากฏในศิลาจารึกวัดเชียงมั่น ที่จารึกไว้ว่า"ศักราช ๖๕๘ ปีรวายสัน เดือนวิสาขาออก ๘ ค่ำ ขึ้น ๕ ไทยเมืองเปล้า ยามแตรรุ่งแล้ว สองลูก นาฑี ปลายสองบาทน้ำ ลัคคนาเสวยนวางค์ประหัส ในมีนยะราศี พญามังรายเจ้า พญางำเมือง พญาร่วง ทังสามคน ตั้งหอ นอนในที่ไชยภูมิ ราชมณเฑียร ขุดคือก่อตรีบูรทั้งสี่ด้านและก่อเจติยะทัดที่นอนบ้านเชียงมั่น ...............”หรือ ลักษณะการบันทึกท้ายเอกสารโบราณของล้านนา เช่น“มังคละวุฒิสิริสุภ ลง ๕ ฅ่ำ เมงวัน ๔ ไทยเปิกสี ยามตูดเช้า สมเร็จแกล่ข้าวันนั้นแลเจ้าเหิย อหํนามพรหมปญญาภิกขุ สามิกา อารามธิปติ วัดแม่แค็ดแก้ววังธาร.......” “จาด้วยนิทานตำนานเมืองแกนก็สมเร็จเสด็จยามตูดเช้า  เดือน 10 แรม 3 ค่ำ เม็งวัน 5[1]ไทกาบใจ้..........”(ตำนานเมืองแกน  ฉบับวัดดอกแดง ตำบลสง่าบ้าน อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่)หรือ ในท้ายกฎหมายมังรายศาสตร์ ฉบับวัดแม่คือ ตำบลแม่คือ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ตลอดจนการสัมภาษณ์ผู้สูงอายุหลายคน  ทำให้พอสันนิษฐานได้ว่า คนล้านนาในอดีต นอกจากจะนับวันแบบวันเม็ง คือ อาทิตย์ – เสาร์ แล้ว  ยังนิยมนับเป็นข้างขึ้นข้างแรม  นิยมนับเดือนเป็นเดือนทางจันทรคติ ส่วนปี  หากมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรก็นิยมบันทึกด้วยปีจุลศักราชและปีในระบบหนไท  แต่หากใช้กันในชีวิตประจำวันทั่วไป จะนับปีตามปีนักษัตร          ส่วนการเปลี่ยนปีใหม่ จะอาศัยจากการโคจรของดวงอาทิตย์ตามคัมภีร์ที่มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น สุริยยาตร์  เพทังคศาสตร์  มัธยมสิทธานต์  คัมภีร์มูลละ  เป็นต้น ซึ่งจะต้องคำนวณโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะตรงกับเดือนเมษายน ประมาณช่วงวันที่ 13  14  และ 15   คนล้านนาเรียกช่วงนี้ว่าวันปีใหม่เมือง ถือเป็นช่วงเปลี่ยนปีใหม่          สำหรับแบบที่ใช้ดูวันแต่ละวันในรอบปีนั้นคนล้านนาเรียกว่า ปักขทืน ซึ่งเป็นลักษณะที่เรียกว่า ปักขทืนหน้าเดือน นิยมบันทึกลงบน พับสาและใบลาน  โดยจะมีการบันทึกด้วยอักษรธรรมล้านนาเป็นสูตรการคำนวณหาวันเวลาเป็นช่องๆ ซึ่งเป็นรูปแบบของปฏิทินที่จะคำนวณเฉพาะวันขึ้น 1 ค่ำของแต่ละเดือนทางจันทรคติแบบล้านนาเท่านั้น  เมื่อนำไปใช้งาน ผู้ใช้จะต้องนับวันที่เหลือตามลำดับเรื่อยไปจนถึงสิ้นเดือนแล้วกลับไปดูวันขึ้น 1 ค่ำของเดือนใหม่ต่อไปตามลำดับ  ส่วนเนื้อหาที่มีปรากฏในปฏิทินหน้าเดือนแบบโบราณ มักประกอบไปด้วย เดือนทางจันทรคติแบบล้านนา วันที่นับแบบจันทรคติแบบล้านนา วันเม็ง  วันไท  วันเก้ากอง ฯลฯ อย่างไรก็ตาม  เนื้อหาของวันในระบบต่างๆ ที่ปรากฏในปฏิทินหน้าเดือนแต่ละฉบับอาจมีมากน้อยไม่เท่ากันแต่เนื้อหาหลักๆยังคงมีความคล้ายคลึงกัน ซึ่งในดินแดนล้านนาก็ได้ใช้ปฏิทินแบบหน้าเดือนนี้เป็นหลักในการหาวันเวลาที่เหมาะสมในการประกอบกิจกรรมหรือพิธีกรรมมาช้านาน4.  การเปลี่ยนแปลงการปกครองที่ส่งผลกระทบต่อปักขทืนล้านนาปักขทืนล้านนา มีบทบาทและอยู่คู่กับสังคมล้านนามาช้านาน  ซึ่งอาณาจักรล้านนาก็มีความเป็นมายาวนานกว่า 700 ปี นับตั้งแต่พญามังรายรวบรวมหัวเมืองต่างๆ เข้าด้วยกันเป็นปึกแผ่นแล้วสร้างเมืองเชียงใหม่ขึ้นเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรในปี พ.ศ. 1839 แล้วก็มีกษัตริย์ปกครองสืบต่อกันมาจนกระทั่งถึงยุคของพญาเมกุฏิสุทธิวงศ์ล้านนาก็ได้ตกเป็นเมืองประเทศราชของพม่า หลังจากนั้น 216 ปี พญาจ่าบ้าน พญากาวิละได้รวบรวมกำลังพลร่วมกับกองกำลังของพระเจ้าตากขับไล่พม่าออกไปได้สำเร็จ แล้วได้ไปสวามิภักดิ์กับสยาม ซึ่งยุคนี้ ล้านนาอยู่ในฐานะเมืองประเทศราชของสยาม มีอำนาจการปกครองตนเองได้ทุกอย่าง เพียงแต่ต้องส่งบรรณาการให้สยามปีละครั้งเท่านั้น  โดยมีพญากาวิละเป็นกษัตริย์พระองค์แรกของราชวงศ์ใหม่ คือ ราชวงศ์เจ้าเจ็ดตน  แล้วก็กษัตริย์ปกครองต่อมาเรื่อยๆ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ปักขทืนล้านนา ก็ยังคงมีบทบาทรับใช้สังคมล้านนามาอยู่เสมอ          กระทั่งสิ้นรัชสมัยของเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าหลวงองค์ที่ 7 ของล้านนา ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ประองค์ได้โปรดให้มีการปฏิรูปการปกครอง ล้านนาจึงถูกลดอำนาจจากเมืองประเทศราช กลายเป็นมณฑลพายัพ  มีขุนนางจากสยามมาทำหน้าที่บริหารจัดการบ้านเมือง กษัตริย์มีสถานภาพเพียงประมุขเท่านั้นจนกระทั่งสิ้นรัชสมัยของเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าหลวงองค์ที่ 9  มณฑลพายัพ ก็ได้ถูกยุบให้กลายเป็นจังหวัดต่าง ๆ ทางภาคเหนือตอนบน          ยุคที่ล้านนาค่อยๆ ถูกลดอำนาจด้านการปกครอง พร้อมๆ กับอำนาจรัฐจากสยามเริ่มเข้ามาแทนที่เรื่อยๆ นี้เอง เป็นยุคที่ภาษา วรรณกรรม ตลอดจนองค์ความรู้ด้านต่างๆ ของล้านนาได้ถูกลดความสำคัญลงเรื่อยๆ โดยมีวัฒนธรรมจากภาคกลางเข้ามามีบทบาทแทน ปักขทืนล้านนาเองก็ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน จนทำให้ปักขทืนล้านาเป็นเหมือนของเก่าที่ต้องเก็บขึ้นหิ้ง มีเพียงคนบางกลุ่ม เช่น พระสงฆ์บางรูป  ปู่จารย์[2]บางท่าน  ที่อาจยังคงเก็บรักษาปักทืนล้านนาอยู่  ผิดกับปฏิทินของภาคกลางที่มีใช้กันเกือบทุกครอบครัว          ผู้เขียนคิดว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปฏิทินภาคกลาง เข้ามาแทนที่ปักขทืนล้านนาได้อย่างรวดเร็วในยุคนั้น ล้วนเป็นผลสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ไม่ว่าจะเป็นระบบการติดต่อราชการ  ระบบการศึกษา  ที่มีการกำหนดวันเวลาราชการ และวันหยุดราชการ  ตลอดจนสื่อต่าง ๆ ที่เข้ามามีอิทธิพลต่อคนล้านนา ทั้งสื่อวิทยุกระจายเสียง  โทรทัศน์  ที่มีการใช้ภาษาและนับระบบวันเดือนปีตามปฏิทินของภาคกลาง  ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนทำให้คนล้านนา ต้องยอมรับปฏิทินแบบภาคกลางไปโดยปริยาย เนื่องจากเหมาะสมกับวิถีชีวิตและการเมืองการปกครองที่ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วนั่นเองอย่างไรก็ตาม แม้ปฏิทินภาคกลางจะเริ่มเข้ามามีบทบาทกับคนล้านนา แต่คนล้านนาส่วนหนึ่งโดยเฉพาะกลุ่มวัยกลางคนจนกระทั่งถึงกลุ่มผู้สูงอายุ  ยังคุ้นชินกับระบบการนับวันเวลาแบบเดิมของล้านนาอยู่ เช่นที่ผู้เขียนเคยพูดคุยและสอบถามวันเดือนปีเกิดของผู้สูงอายุหลายท่าน  ซึ่งแทบจะทั้งหมดจะตอบว่าเกิดวันอะไร ขึ้นแรมกี่ค่ำ เดือนทางจันทรคติอะไร และปีนักษัตรหรือตัวเพิ่งอะไร  ไม่ค่อยตอบเป็นวันที่ เดือน และปีพุทธศักราชแบบปฏิทินของภาคกลาง หรือแม้แต่การพูดถึงวันเวลาต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ส่วนใหญ่ยังนับเป็นข้างขึ้นข้างแรม  และเดือนทางจันทรติอยู่ ผู้สูงอายุหลายท่าน ไม่จำเป็นต้องดูปฏิทินเลยก็สามารถไล่เรียงวันในแต่ละเดือนได้ขอให้ทราบเพียงวันเดือนเพ็ง[3] และวันเดือนดับ[4] และที่น่าสนใจมากไปกว่านั้น คือ แม้ในปฏิทินแบบภาคกลาง จะมีเดือนจันทรคติบอกไว้  แต่ก็เป็นตัวเลขที่ไม่ตรงกับเดือนทางจันทรคติของล้านนา เพราะของล้านนาจะเร็วกว่าของภาคกลางไป 2 เดือน แต่ตัวเลขเดือนในปฏิทินก็ไม่มีปัญหากับคนล้านนา เพราะไม่ว่าจะอย่างไร คนล้านนาก็ยังนับเดือนทางจันทรคติได้ถูกต้องตามแบบของตน และที่สำคัญไปกว่านั้น การจะประกอบพิธีกรรมสำคัญๆ ต่างๆ คนล้านนา ยังต้องไปหาปู่จารย์เพื่อให้ปู่จารย์หาวันเวลาที่เหมาะสม ซึ่งก็เป็นวันตามระบบปักทืนล้านนานั่นเองสิ่งต่างๆ ที่ได้กล่าวไปในข้างต้นสะท้อนให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่า แม้ปฏิทินแบบภาคกลางจะเข้ามาได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจนต้องมีอยู่ติดบ้านทุกบ้าน แต่ระบบปักขทืนแบบล้านนา ก็ยังคงมีบทบาทกับคนล้านนาอยู่เช่นกันเรียกได้ว่าเป็นช่วงที่ทับซ้อนกันอยู่ของปฏิทินทั้งสองระบบ แต่ก็เป็นช่วงทับซ้อนที่น่าเป็นห่วงเพราะกลุ่มผู้ใช้ปักขทืนล้านนาซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุและเริ่มทยอยลดลง ต่างกับปฏิทินแบบภาคกลางที่คนรุ่นเด็กจนถึงวัยทำงานคุ้นเคยมากกว่าและมีแนวโน้นจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ5.  การฟื้นฟูปักขทืนล้านนา          นับเป็นความโชคดีของล้านนา ที่ปักขทืนล้านนา ได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาได้ทันท่วงที ทำให้สามารถกลับขึ้นมามีบทบาทต่อคนและสังคมล้านนาได้อีกครั้ง ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว ในอดีตได้มีการพยายามฟื้นฟูปักขทืนล้านนาขึ้นมาแล้วหลายครั้ง นับตั้งแต่ยุคของ คำฟู  ขนุนแก้ว  อุดม  สืบหล้า และ วรรณา  จิตศรัทธา แต่ก็ยังไม่ได้รับการตอบรับที่ดีเท่าที่ควร  จนกระทั่งถึงยุคที่ร้านประเทืองวิทยา ได้ผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ออกมาเผยแพร่และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ซึ่งแม้จะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่พิมพ์ด้วยอักษรไทยภาคกลาง แต่ก็เป็นเรื่องราวและภาษาคำเมืองหรือภาษาล้านนา หนึ่งในผลงานตีพิมพ์ที่ได้รับความนิยมมากคือ หนังสือปีใหม่เมืองของร้านประเทืองวิทยา ซึ่งเนื้อหาจะต้องได้รับการคำนวณตามระบบปักขทืนล้านนา และผู้หนึ่งที่เป็นผู้คำนวณหนังสือปีใหม่เมืองให้ร้านประเทืองวิทยาในระยะหลัง คือ พระครูอดุลสีลกิตติ์  ซึ่งท่านได้ศึกษาหาความรู้สั่งสมเรื่อยมาตั้งแต่เป็นสามเณร ประกอบกับการสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้เชี่ยวชาญหลายๆ ท่าน หนึ่งในนั้นคือ  พระอธิการประเสริฐ  ปวโร   วัด     หนองปลามัน อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีความเชี่ยวชาญด้านการคำนวนปักขทืนล้านนามาก  จนกระทั่งได้เริ่มมีการผลิตปักขทืนล้านนาขึ้นมาพิมพ์เผยแพร่ในรูปแบบของหนังสือ แต่เป็นการเผยแพร่เฉพาะกลุ่มเล็กๆ เช่น ของพระอธิการประเสริฐ ก็เผยแพร่เฉพาะในวันหนองปลามัน  ของพระครูอดุลย์สีลกิตติ์ก็เผยแพร่เฉพาะที่วัดธาตุคำและกลุ่มลูกศิษย์ลูกหา  และในปีต่อๆ มาก็ได้มีการพัฒนารูปแบบมาเรื่อยๆ พร้อม ๆ กันนั้นก็มีผู้เชี่ยวชาญด้านการคำนวณปักขทืนล้านนาอีกหลายท่าน ได้เข้ามามีบทบาทในการฟื้นฟู ไม่ว่าจะเป็น อาจารย์ยุทธพร  นาคสุข   อาจารย์เกริก  อัครชิโนเรศ  อาจารย์สนั่น  ธรรมธิ  ฯลฯ จนทำให้ปักขทืนล้านนาได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน6. ปักขทืนล้านนายุคปัจจุบันลักษณะของปักขทืนล้านนาในยุคปัจจุบัน     มีลักษณะผสมผสานระหว่างปักขทืนล้านนาโบราณแบบหน้าเดือนและปฏิทินแบบภาคกลาง  จึงไม่น่าแปลกที่ปัจจุบันอาจกล่าวได้ว่า ปักขทืนล้านนา กำลังเริ่มเข้ามาแทนที่ปฏิทินแบบภาคกลาง เพราะผู้ใช้งานย่อมตระหนักดีว่าหากมีปักขทืนล้านนาไว้ที่บ้านก็จะเสมือนได้ใช้ประโยชน์ทั้งปฏิทินแบบภาคกลางและล้านนา  การเปลี่ยนมาใช้ปักขทืนล้านนาแทนปฏิทินภาคกลางไม่ได้เสียประโยชน์อะไรเลยเพราะสิ่งที่ปฏิทินภาคกลางมีในปักขทืนล้านนาก็มี นอกจากนี้ในปักขทืนล้านนา ยังมีในสิ่งที่ปฏิทินภาคกลางไม่มีอีกด้วยเพราะเป็นองค์ความรู้เฉพาะของล้านนา และที่สำคัญคือ องค์ความรู้เฉพาะเหล่านั้นนั่นเองที่ยังมีบทบาทต่อวิถีชีวิตของคนล้านนาเป็นอย่างมากแหล่งสร้างสรรค์ปักขทืนล้านนาที่สำคัญในปัจจุบัน ที่เปรียบเสมือนเป็นเสาหลักของแวดวง    ปักขทืนล้านนา มีอยู่ด้วยกันหลายแห่ง  ที่สำคัญๆ ได้แก่ วัดธาตุคำชมรมปักขทืนล้านนาวัดหนองปลามันสำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่โครงการจัดพิมพ์ปฏิทินและผลงานปริวรรตเอกสารล้านนาวัดน้ำลัด ต.นาปรัง อ.ภูเพียง    จ. น่านแต่ละแห่งที่กล่าวมาข้างต้นก็มีการสร้างสรรค์และพัฒนารูปแบบของปักขทืนล้านนาอย่างต่อเนื่องจนทำให้ปัจจุบันปักขทืนล้านนา มีอยู่หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ปฏิทินแขวน  สมุดบันทึกประจำวัน  หนังสือ  และแผ่นพับซ้อนลดหลั่นกันไปคล้ายพับสาเล่มเล็กๆ เป็นต้น แต่ไม่ว่าจะมีรูปแบบหลายหลายอย่างไร เนื้อหาหลักก็ยังคงมีลักษณะคล้ายกัน          เนื้อหาส่วนแรก เป็นเนื้อหาที่มีเหมือนปฏิทินแบบภาคกลาง ได้แก่ วันทางสุริยคติ (อาทิตย์ถึงเสาร์)   วันทางจันทรคติ(ข้างขึ้นกี่ค่ำ ข้างแรมกี่ค่ำ) เดือนแบบสากล (มกราคม – ธันวาคม) และปีพุทธศักราช          เนื้อหาอีกส่วนหนึ่ง เป็นเนื้อหาที่มีเฉพาะในปักขทืนล้านนาเท่านั้น ได้แก่   วันไท[5]    วันเก้ากอง[6]วันฟ้าตีแส่งเศษ  วันติถีทั้งห้า[7]   วันอมริสสโชค  วันหัวเรียงหมอน  ฤกษ์ยามที่เหมาะสมในแต่ละวันเดือนทางจันทรคติแบบล้านนา  ปีจุลศักราช  ปีแบบหนไท[8] และปีนักษัตร[9]7.  การสืบทอดปักขทืนล้านนายุคที่ปักขทืนล้านนาได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาจนได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย นับว่าเป็นยุคแห่งความภาคภูมิใจที่คนล้านนาเราสามารถฟื้นฟูให้ปักขทืนกลับขึ้นมามีบทบาทและใช้งานได้อีกครั้งท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ   แต่ก็อาจทำให้คนล้านนาหลายคนอดเป็นห่วงไม่ได้ว่า แล้วในอนาคต จะมีใครมาช่วยกันสืบสอดหรือสืบสานให้ปักขทืนล้านนา สามารถดำรงอยู่คู่สังคมล้านนาเรื่อยๆ  ซึ่งก็น่าภูมิใจอีกเช่นกันที่กลุ่มผู้ที่ฟื้นฟูปักขทืนล้านนาขึ้นมา ล้วนแล้วแต่มีวิสัยทัศน์อันกว้างไกล โดยได้วางแผนและจัดการเรื่องการสืบทอดปักขทืนล้านนาเอาไว้อย่างดีเยี่ยมและหลากหลายวิธี อันได้แก่1) สอนวิธีการคำนวณให้แก่ผู้ที่สนใจ  เช่น  วัดธาตุคำ  โดยพระครูอดุลย์สีลกิตติ์         ชมรมปักขทืนล้านนา โดยอาจารย์เกริก  อัครชิโนเรศ2)  ถ่ายทอดวิธีคำนวณไว้ในรูปเล่มหนังสือ   เช่น  หนังสือ “มื้อจันทร์ – วันดี ของดีแห่งโบราณจารย์ล้านนา” ของ อาจารย์สนั่น  ธรรมธิ3)  คำนวณไว้ล่วงหน้าหลายสิบปี เช่น ปักขทืนล้านนาที่คำนวณไว้ล่วงหน้าฉบับของพระอธิการประเสริฐ  ปวโร วัดหนองปลามัน อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่          ด้วยรูปแบบการสืบทอดอย่างหลากหลายและเป็นระบบนี่เอง น่าจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยทำให้คนล้านนาหลายคนคลายความเป็นห่วงลงไป และมั่นใจได้ว่าปักขทืนล้านนาน่าจะยังคงอยู่คู่กับสังคมล้านนาต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน8. คุณค่าของปักขทืนล้านนา          ปักขทืนล้านนา นอกจากจะใช้บอกวันเวลาเช่นเดียวกับปฏิทินแบบภาคกลางแล้ว ยังมีรายละเอียดมากพอที่สามารถช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถนำไปใช้คำนวณหาวันเวลาที่เหมาะสมกับการประกอบกิจกรรมพิธีกรรมต่างๆ ได้เองแทบทุกพิธีกรรม นอกเหนือไปกว่านั้นปักขทืนล้านนา ยังแสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของความเป็นล้านนาที่เป็นดินแดนแห่งอารยธรรมอันรุ่งเรืองทั้งด้วยศิลปวัฒนธรรมและองค์ความรู้อันหลากหลายและที่สำคัญองค์ความรู้เหล่านั้น คนล้านนา ได้ร่วมกันสืบทอด สืบสาน และฟื้นฟูให้สามารถดำรงอยู่คู่กับสังคมล้านนามาช้านานจนถึงปัจจุบันและจะยังคงอยู่คู่กับคนและสังคมล้านนาไปอีกยาวนานบทสรุปปักขทืนล้านนา อยู่คู่กับสังคมล้านนามาช้านาน  จนถึงช่วงเวลาหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอันหลากหลายด้าน ส่งผลให้ปักขทืนล้านนาถูกลดบทบาทและเข้ามาแทนที่โดยปฏิทินภาคแบบภาคกลาง จนแทบใกล้จะสูญหายไปจากล้านนา แต่ก็เป็นความโชคดีของคนล้านนา  ที่ในหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ปักขทืนล้านนา ได้รับการฟื้นฟูและพัฒนาการมาสู่ยุคที่อาจจะเรียกได้ว่าเริ่มเข้ามาแทนที่ปฏิทินแบบภาคกลางได้อย่างสง่างาม และเป็นทศวรรษแห่งความเฟื่องฟูขององค์ความรู้เรื่อง   ปักขทืนล้านนา  การที่ปักขทืนล้านนาได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในวันนี้ได้นั้น ส่วนหนึ่งมาจากจิตวิญญาณของคนล้านนาที่มีความรักความศรัทธาต่อภูมิปัญญาที่สืบทอดต่อกันมาจากบรรพบุรุษ แม้จะมีสิ่งใหม่เริ่มเข้ามาแทนที่ แต่ก็ยังไม่ละทิ้งสิ่งเก่า   อีกส่วนหนึ่งมาจากคนกลุ่มหนึ่งที่ช่วยกันทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ กำลังความคิด สติปัญญา ตลอดจนความทุ่มเทจนทำให้ปักขทืนล้านนากลับมามีชีวิตและคุณค่ากับคนล้านนาอีกครั้งด้วยความชาญฉลาดในการปรับเอาของเก่าให้สามารถเข้ากันได้กับของใหม่อย่างเหมาะสมลงตัว   และอีกส่วนหนึ่ง คือ การได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาในช่วงเวลาที่เหมาะสม หากเร็วกว่านี้อาจจะต้านทานกระแสการเปลี่ยนแปลงหลายๆ สิ่งไม่ไหว  หรือหากช้ากว่านี้อาจไม่มีผู้สนใจหรือ ผู้มีความรู้เรื่องนี้หลงเหลืออยู่เลยก็ได้ พัฒนาการของปักขทืนล้านนา จึงเปรียบเสมือนดั่งแสงเทียนที่จะจุดประกายให้คนล้านนาช่วยกันหันมาให้ความสนใจภูมิปัญญาองค์ความรู้ด้านอื่นๆ ที่กำลังใกล้จะสูญหาย  แล้วหาทางช่วยกันฟื้นฟูให้กลับมามีบทบาทใช้งานได้อีกครั้ง โดยอาศัยการฟื้นฟูปักขทืนล้านนาเป็นแบบอย่างเพื่อช่วยกันสืบสานให้ล้านนา ยังคงความเป็นล้านนา ดินแดนแห่งอารยธรรมอันหลากหลายที่สั่งสมและสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น และคงอยู่เป็นล้านนาตลอดไปตราบชั่วลูกชั่วหลานเอกสารอ้างอิงชมรมปักขทืนล้านนา.  2554.  ปักขทืนล้านนา.   เชียงใหม่ : พงษ์สวัสดิ์การพิมพ์.ทวี  สว่างปัญญางกูร.  2532.  วัฒนธรรมล้านนาแม่กาบใจ้(ระบบหนไท).  มปท. สนั่น ธรรมธิ.  2542.  มื้อจันทร์ - วันดี : ของดีแห่งโบราณาจารย์ ล้านนา.  เชียงใหม่ :เชียงใหม่พิมพ์สวย.โหรา  บุราจารย์.  2546.  ปฏิทิน 150 ปี ฉบับครอบครัว.  กรุงเทพฯ : เลี่ยงเชียง.อดุลสีลกิตติ์,พระครู.  2454.  ปฏิทินล้านนา พ.ศ. 2554 ฉบับวัดธาตุคำ.  เชียงใหม่ : ณัฐพลการพิมพ์.สัมภาษณ์  เกริก  อัครชิโนเรส  สัมภาษณ์ ณ  คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่,  12 กรกฎาคม  2554.พระครูอดุลสีลกิตติ์  สัมภาษณ์ ณ วัดธาตุคำ  ต.หายยา อ.เมือง จ.เชียงใหม่,  14  กรกฎาคม 2554.พระอธิการประเสริฐ  ปวโร สัมภาษณ์ ณ วัดหนองปลามัน อ.พร้าว จ.เชียงใหม่,  18  ตุลาคม 2554.ยุทธพร  นาคสุข  สัมภาษณ์ ณ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่,  25 มิถุนายน 2554.สนั่น ธรรมธิ  สัมภาษณ์ ณ สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่,  17 ตุลาคม 2554. [1] วันพฤหัสบดี[2] มัคนายก ผู้นำในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีความรู้เรื่องการหาฤกษ์ยามด้วย โดยยึดตามปักขทืนล้านนา[3] อ่านว่า “เป็ง” แปลว่าวันเพ็ญ[4] วันสิ้นเดือนทางจันทรคติ[5] มีทั้งหมด 60 วันโดยจะเริ่มนับจาก  กาบใจ้ เรื่อยไปจนถึง ก่าใค้ [6] มีทั้งหมด 12 วัน ได้แก่  วันเก้ากอง  วันรองพืน  วันพืนดอก      วันพืนดาย  วันสูพัก  วันรับได้  วันรับตาย  วันขว้ำได้  วันไสเจ้า  วันไสเสีย  วันท้ายพ้าว  และวันยีเพียง [7] วันติถีทั้งห้า ได้แก่ วันนันทาติถี  วันภัทราติถี  วันไชยาติถี  วันลิตตาติถี  วันปุณณาติถี[8] มีระบบการนับเช่นเดียวกับวันในระบบหนไท โดยเริ่มนับ จากปี กัดใค้ เรื่อยไปจนถึงเปิกเส็ด[9] เป็นรูปสัตว์ปีละตัว จำนวน 12 ปีคล้ายภาคกลาง ยกเว้นปีกุลหรือปีใค้  ของภาคกลางเป็นหมูแต่ของล้านนาเป็นช้าง
1 มกราคม 2557     |      14207
ทั้งหมด 2 หน้า