ขั้นตอนการฟ้อนผีเม็งแบบเชียงใหม่ กรณีศึกษา : บ้านช้างม่อย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
ขั้นตอนการฟ้อนผีเม็งแบบเชียงใหม่ กรณีศึกษา : บ้านช้างม่อย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่[1]สุทธิพงค์ พัฒนวิบูลย์สุนทร คำยอดเกริ่นนำ : ความเป็นมาเม็งช้างม่อย กลุ่มเม็งบ้านช้างม่อยอาศัยอยู่บริเวณหลังประตูท่าแพ ตั้งแต่บริเวณวัดอุปาเม็งใน (วัดบุพพาราม) วัดแสนฝาง วัดมหาวัน วัดเชตวัน และวัดอู่ทรายคำ มีชาวเม็งอาศัยอยู่มาช้านาน ซึ่งสันนิษฐานได้จาก โบราณสถาน เช่นพระเจดีย์ และพระพุทธรูปที่ศิลปะแบบมอญ จำเนียรกาลผ่านพ้นสู่ยุคโลกาภิวัตน์ และนโยบายสมานลักษณ์ของรัฐตั้งแต่อดีตจนถึงปัจุบัน ซึ่งลดทอนอัตลักษณ์ของชาวเม็งลงไป ในอดีตอาชีพของคนในแถบนี้มักเป็นกลุ่มที่ผลิตทำการค้าในระดับครัวเรือน เช่น ทำแหนม การทำขนมจีน ขายเมี่ยงและบุหรี่ ได้มีการศึกษาของนักวิชาการหลายท่าน ที่ได้กล่าวถึงการตั้งถิ่นฐานของชาวเม็งในแถบนี้ สมพงศ์ วิทยศักดิ์พันธุ์ (๒๕๔๑) ได้ศึกษาเรื่องถิ่นที่อยู่ของคนไทยในจังหวัดเชียงใหม่ พบว่า เม็งที่อาศัยอยู่บริเวณแถบนี้ อพยพมาจากเมืองพะโค จากอาณาจักรพุกาม ซึ่งเป็นอาณาจักรมอญโบราณ นอกจากนี้ นเรศ จิตรักษ์ (๒๕๔๘) กล่าวว่า พญากาวิละ ได้กวาดต้อนชาวเม็ง ในยุคเก็บผักใส่ซ้าเก็บข้าใส่เมือง โดยให้อยู่ที่ช้างม่อย ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีฝีมือด้านการตีมีดจากเอกสารพับสาชื่อ รายชื่อวัดและนิกายสงฆ์โบราณในเชียงใหม่ ซึ่งเนื้อหากล่าวถึงรายชื่อวัดที่ได้สำรวจขึ้นตามคำสั่งขององค์กรสงฆ์ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เอกสารฉบับดังกล่าวได้กล่าวถึงนิกายต่าง ๆ ในเชียงใหม่ ซึ่งมิได้หมายถึง นิกายสงฆ์พื้นเมือง นิกายวัดสวนดอก และนิกายป่าแดงแต่อย่างใด แต่นิกายในความหมายดังกล่าวหมายถึงชาติพันธุ์ของคนแถบนั้นที่ให้การอุปถัมภ์วัด อาทิ นิกายเขิน นิกายลวง นิกายลัวะ นิกายเลน นิกายยอง นิกายเชียงแสน นิกายเชียงใหม่ เอกสารฉบับดังกล่าวได้กล่าวถึง วัดบุพพาใน และวัดบุพพานอก ว่าเป็นวัดนิกาย “มอญ” (สมหมาย เปรมจิตต์, ๒๕๑๘: ๙) จะเห็นได้ว่าการเข้ามาของชาวเม็งในเชียงใหม่นั้นเข้ามาหลายครั้ง ปัจจุบันสิ่งที่ยังคงหลงเหลืออัตลักษณ์ของความเป็นชาวเม็ง คือ การฟ้อนผีเม็ง ซึ่งเป็นสายสัมพันธ์ ระหว่างบรรพบุรุษผู้ล่วงลับกับลูกหลานรุ่นหลัง การฟ้อนผีเม็งในเขตอำเภอเมืองเชียงใหม่ยังคงรักษาแบบแผนได้เป็นอย่างดี เนื่องจากการประกอบพิธีดังกล่าวต้องอาศัยเจ้าพิธีที่เรียกว่า “แม่ตั้ง” เทียบได้กับ “โต้ง” ของการรำผีมอญแบบภาคกลาง ลักษณะเช่นนี้คล้ายกับการฟ้อนผีเม็งบางแห่งในเขตอำเภอสันทราย และดอยสะเก็ดที่ยังคงมี “แม่ตั้ง” ที่รับผิดชอบการฟ้อนทั้งหมด ดังนั้นลักษณะของพิธีกรรมจึงเป็นแบบแผน และเคร่งครัด ซึ่งต่างจากการฟ้อนผีที่เจ้าภาพดำเนินการเอง ซึ่งจะทำให้พิธีกรรมแตกต่างเมื่อเวลาผ่านไป จากการศึกษาพบว่า การฟ้อนผีของนั้นจะเกิดขึ้นจาก ๒ กรณี ได้แก่ การฟ้อนตามประเพณี เป็นการฟ้อน ตามปกติของตระกูล พบว่า ความถี่ของการฟ้อนนั้นขึ้นอยู่กับฐานะของตระกูล เพราะการฟ้อนผีนั้น ถือเป็นงานใหญ่ที่ต้องอาศัยทรัพยากรเป็นจำนวนมาก จำเป็นต้องระดมแรงงาน เงิน และสิ่งของ จากคนในและภายนอกตระกูล ระยะเวลาในการฟ้อนอาจเป็น ๓ ถึง ๑๐ ปีต่อครั้ง ส่วนการฟ้อนอีกประเภทหนึ่งคือการฟ้อน เพื่อแก้บน ผู้บนจะต้องรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายในการฟ้อน โดยมากจะเป็นการฟ้อนเมื่อหากจากการเจ็บป่วย หรืออาจประสบความสำเร็จอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้ผู้บนจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเอง แต่การฟ้อนนั้นก็เป็นเรื่องของตระกูลที่ต้องช่วยกันจัดงานให้ลุล่วง การฟ้อนผีทั้งสองประเภทนี้จะประกอบพิธีในช่วง เดือน มีนาคม ถึง เดือนพฤษภาคม ขั้นตอนในการฟ้อนผีเม็งแบบเชียงใหม่ กรณีศึกษา : บ้านช้างม่อย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ การฟ้อนผีเม็ง นั้นแบ้งออกเป็นวันต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งหมด ๔ วัน คือวันเตรียม การประกอบพิธี วันครัวไม้ วันดา และวันฟ้อน เมื่อจะประกอบพิธีนั้น เจ้าภาพต้องไปบ้าน “แม่ตั้ง” เพื่อขอให้เป็นผู้ประกอบพิธี เจ้าภาพต้องนำกรวยดอกไม้ที่บรรจุใบเกี๋ยงพะเม็ง (เฉียงพร้ามอญ) และห่อเมี่ยงใส่พาน ไปขอแม่ตั้ง และบอกถึงสาเหตุของการฟ้อน หลังจากแม่ตั้งตอบรับแล้วเจ้าภาพต้องไปว่าจ้างวงดนตรี (หากลอง)ในการประกอบพิธีกรรม ซึ่ง นิยมใช้ ๒ คณะ คือวงเชียงยืน และวงหัวฝาย ซึ่งจะเป็นผู้รู้ขั้นตอนตลอดจนจังหวะเพลงที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมในแต่ละขั้นตอน หลังจากนั้นเจ้าภาพจึงจะไปเชิญแขกให้มาร่วมงาน บริเวณที่จะไปเชิญก็คือกลุ่มคนที่ถือผีเม็งในเขตอำเภอเมืองเชียงใหม่ เช่น บ้านชัยมงคล บ้านช้างม่อย บ้านพวกช้าง บ้านป้านปิง บ้านเมืองก๋าย ซึ่งมีข้อปฏิบัติคล้ายกับการไปเชิญแม่ตั้ง บริเวณที่ การเชิญแขกเข้าร่วมพิธีนี้ถือเป็นการสร้างเครือข่ายของคนในชุมชนโดยอาศัยความเชื่อเรื่องผีเป็นฐานของระบบความสัมพันธ์ โดยจะขอให้แขกมาร่วมฟ้อนเพื่อให้งานนั้นสำเร็จลุล่วง วันเตรียมการฟ้อนนี้ต้องทำล่งหน้าอย่างน้อยสองสัปดาห์ หลังจากเชิญแขกครบตามจำนวนแล้วเจ้าภาพต้องจักหาเครื่องประกอบพิธีกรรมให้ครบถ้วนซึ่งต้องปรึกษาแม่ตั้งว่าต้องใช้สิ่งใดบ้าง ของที่ต้องซื้อนั้นต้องเตรียมตั้งแต่ ผาม (ปะรำ) และเครื่องไหว้ต่าง ๆ ซึ่งผามประกอบด้วย ไม้ไผ่ ใบตองตึง(ใบพลวง) หญ้าคา การทำผามนั้นเป็นหน้าที่ของผู้ชาย และต้องทำให้ถูกต้องตามแบบแผนโดยแม่ตั้งจะเป็นกำกับการสร้างผาม การทำผามนั้นเดิมใช้เสาหมาก และมุงด้วยใบตองตึง บริเวณหิ้งจะมุงด้วยหญ้าคา และจะยกร้านและปูด้วยฟาก ของใช้ที่ประกอบพิธีจะประกอบด้วย ขั้นตั้ง หมาก ๓ หัว พลู ๓๐๐ ใบ เทียนเล่มบาทสองคู่ เทียนเล่มเฟื้องสองคู่ เทียนขี้ผึ้ง๑๕๐ เล่ม ฝ้ายขาว ๒ ต่วง ฝ้ายแดง ๒ ต่อง ส้มป่อย ๑ มัด หวี กระจก น้ำอบ แป้งร่ำ น้ำมันใส่ผม อย่างละ ๑ และเหล้าขาว ๑ ขวดนอกจากนี้ยังมีหม้อน้ำ ๒ ใบ หวด ๒ ใบ กระบวย ๑ คัน กระด้ง ๑ ใบ ส่วนประเภทอาหารได้แก่ ปลาแห้ง(ปลาช่อน) ๔ ตัว ปลาแดดเดียว ๑ ตัว ไก่สด ๙ ตัว มะพร้าวน้ำหอม ๘๐ ผล มะพร้าวแกะเปลือก ๑ ผล กล้วยน้ำว้า ๑๒ หวี สับปะรด ๔ ผล มะม่วงสุก ๒ กิโลกรัม ข้าตอก ๔ ลิตร น้ำอ้อย ๓ กิโลกรัม แป้งข้าวเหนียว ๔ ถุง น้ำมันพืช ๓ ขวด ดอกไม้สด เช่น ดอกพุดซ้อน ดอกกระดังงา ดอกเอื้องผึ้ง และใบเกี๋ยงพะเม็ง (เฉียงพร้ามอญ) การซื้อของนั้นต้องซื้อล่วงหน้าประมาณสองสัปดาห์ ส่วนของสดนั้นซื้อวันดา(วันสุกดิบ) วันครัวไม้คือวันก่อนวันดา โดยจะขนาดผาม(ปะรำ) ว่าจะมีขนาดเท่าใด เช่น กว้าง ๖ ศอก กว้าง ๘ ศอก เป็นต้น เพื่อเตรียมการสร้างผามในวันรุ่งขึ้น การสร้างปะรำนั้นเป็นการแบ่งงานอย่างชัดเจนระหว่างหญิงชาย โดยการสร้างผามนั้นเป็นงานของผู้ชาย การสร้างผามต้องสร้างให้แล้วเสร็จก่อนเที่ยงและเชิญคนสร้างผามกินข้าวในผามก่อนเพื่อเป็นการให้เกียรติ หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว เป็นเรื่องของผู้หญิงที่ต้องเตรียมเครื่องประกอบพิธีกรรมโดยมี แม่ตั้งเป็นผู้นำ จะประกอบอาหาร และทำขนมในปะรำพิธี แม่ตั้งจะนำแจกันหรือกระบอกไม้ไผ่ ซึ่งเป็นตัวแทนของผีปู่ย่ามามัดมือโดยการนำด้ายขาวมัด ๖ แจกกัน และนำด้ายแดงมามัดแจกันอีก ๑ เป็นของผีนางน้อย หลังจากมัดมือปู่ย่าเสร็จจะนำแจกันใส่ใบเกี๋ยงพะเม็ง แล้วยกขึ้นวางบนหิ้ง วันรุ่งขึ้นเป็นวันฟ้อนเจ้าภาพจะไปรับแม่ตั้งเพื่อเตรียมถ้วย และเครื่องประกอบพิธีกรรม หลังจากที่วงดนตรีมาถึงจะมัดผ้ากลางผามเพื่อใช้โหนขณะฟ้อน มัดผ้ารอบผามแขวนกรวยใบเกี๋ยงพะเม็ง ๖๖ คู่ ขึงผ้าเทิงเทียน แม่ตั้งจะไปบอกที่หน้าบ้านเจ้าภาพเพื่อขออนุญาตให้ผีต่างๆ เข้ามาร่วมพิธี เมื่อพร้อมวงดนตรีจะบรรเลงเพลง แม่ตั้งยกขันตั้ง ไหว้ครู และครอบขันให้แห่ลูกหลานในตระกูล หลังจากนั้นจะมีขั้นตอนการฟ้อนเป็นลำดับซึ่งจะกล่าวโดยละเอียดดังนี้ พิธีเชิญถ้วยขึ้นหิ้ง (ถ้วยผี) ๔๐ ถ้วย อาหารที่ใช้ในการจัดถ้วยผีของชาวเม็ง มีการประกอบอาหารคาว อาหารหวาน และผลไม้ ดังนี้ ข้าวเหนียวนึ่งสุก ปลาแดดเดียวโขลก ไก่คั่วเม็ง ขนมแดง ขนมขาว ขนมเทียน ข้าวตอกเต็ก กล้วยหยึก (กล้วยน้ำว้าเชื่อมด้วยน้ำอ้อย ขนมเต่าเงิน และขนมเต่าคำ ขนมลูกหลาน มะม่วงสุก
เนื้อมะพร้าว ขนุนสุก กล้วยน้ำว้าสุก สับปะรด นำอาหารที่กล่าวมาในขั้นตอน จัดลงในถ้วยแกงขนาดกลาง จัดเรียงให้เป็นระเบียบ พร้อมทั้งใส่กรวยขนาดเล็ก บรรจุใบเฉียงพร้ามอญ ๔๐ ถ้วย เพื่อเข้าพิธีเชิญถ้วยผีขึ้นหิ้งและจะจุดไฟเพื่อต้มปลาแห้งกับปลาร้า แล้วต่อด้วยการฟ้อนปู่กับย่า หรือฟ้อนสองคนโดยฟ้อนที่หน้าหิ้ง แล้วฟ้อนที่ต้นดอกแก้ว เมื่อฟ้อนเสร็จจึงรับประทานอาหารเช้าพิธีไหว้หัวกล้วยและยำหัวควาย พิธีสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ลูกหลานทุกคนต้องเข้าร่วม คือ การไหว้หัวกล้วยหรือที่ในอดีตเรียกว่า “ล้างหัวควาย” จากการสัมภาษณ์พบว่า การนำควายมาฆ่าเพื่อประกอบพิธีการฟ้อนผีเม็งนั้น ได้มีการยกเลิกไปนานหลายปี ซึ่งสาเหตุนั้นอาจเกิดจากควายมีราคาแพงและการฆ่าควายดูโหดร้ายต่อผู้พบเห็นจึงมีมติยกเลิกและหันมาใช้ต้นกล้วยแทนควายจริง สำหรับวิธีการไหว้หัวกล้วยของชาวเม็ง มีข้อปฏิบัติดังนี้ ลูกหลานทุกคนนำต้นกล้วยมาผูกไว้หน้าหิ้งบูชาคล้ายการผูกควายลูกหลานทุกคนกราบและขอขมาต้นกล้วยด้วยข้าวตอกและน้ำขมิ้นส้มป่อยก่อนการตัดการตัดต้นกล้วยนั้นจะตัดกลางปะรำพิธีโดยใช้มีดที่คม ตัดครั้งเดียวให้ขาดและตัดเป็นท่อน ๆ จำนวน ๗ ท่อนการยำหยวกกล้วย (ยำหัวควาย) หลังจากประกอบพิธีไหว้หัวกล้วยแล้ว มีพิธียำหยวกกล้วย (ยำหัวควาย) เพื่อประกอบอาหารถวายผีปู่ย่า และเลี้ยงลูกหลาน ซึ่งวิธีการเตรียมส่วนผสมยำหยวกกล้วยนำเครื่องปรุงจากหม้อน้ำฮ้า (ปลาร้า) ๑ ทัพพี โดยมีส่วนประกอบด้วย ปลาแห้ง ๑ ตัว พริกแห้ง
๖-๘ เม็ด และน้ำฮ้า (ปลาร้า) ซึ่งต้มพร้อมกับพิธีเชิญถ้วยขึ้นหิ้งในตอนเช้าตรู่ โดยผู้ที่ตักน้ำปลาร้าต้องเป็นหัวหน้าผู้ประกอบพิธีเท่านั้นการประกอบยำหยวกกล้วยนั้น ทุกขั้นตอน ลูกหลานต้องช่วยกัน ห้ามคนต่างตระกูลเข้าร่วมพิธีอย่างเด็ดขาด ถือว่า ผิดผี ในขณะยำหยวกกล้วย ห้ามไม่ให้ผู้ใดชิมรสชาติอาหารอย่างเด็ดขาด หากชิมถือว่ารับประทานก่อนผีปู่ย่า จัดใส่กระทงใบตอง (ควักใบตอง) จำนวน ๓ กระทง เตรียมไว้สำหรับพิธีเชิญผีปู่ย่า ส่วนการจัดเลี้ยงลูกหลานนั้น ลูกหลานจะหยิบกินคนละเล็กละน้อย เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลและหายจากอาการเจ็บป่วย ฟ้อนเชิญผีปู่ย่า เริ่มจากขั้นตอนการ รับผี ซึ่งใช้ลูกสาวคนโต หรือลูกสาวคนรองเป็นผู้รับผี การรับผี คือ การเชิญผีปู่ย่ามาเข้าทรง ชาวเม็งเชื่อว่าผีปู่ย่าจะประทับร่างผู้ฟ้อน เพื่อให้ลูกหลานแสดงความกตัญญู โดยที่ลูกหลานทุกคนช่วยกันล้างมือล้างเท้าให้ผีปู่ย่าของตน นอกจากพิธีรับผีแล้วในการฟ้อนเชิญผีปู่ย่ามีพิธีหลายอย่าง เช่น การไหว้ผี ๓ ควัก หรือแม้แต่การฟ้อนผีปู่ย่ากุมบาตร (ใส่บาตร) การไหว้ผี ๓ ควัก คือ การนำยำหยวกกล้วยที่เตรียมไว้จากพิธีไหว้หัวกล้วยมาประกอบพิธีเลี้ยงผีปู่ย่า การประกอบพิธีเริ่มจากการนำกระทง จำนวน ๓ กระทง มาจัดเรียงใต้หิ้งบูชา จากนั้นจุดจองแหลง โรยใบพลู และตักน้ำขมิ้นส้มป่อย รดรอบ ๆ บริเวณควักทั้ง ๓ จำนวน ๓ ครั้ง จากนั้นจึงดับเทียนด้วยใบตอง แล้วผลักควักทั้ง ๓ ควัก ลงใต้หิ้งบูชาเป็นอันเสร็จพิธี ฟ้อนผีเม็งกินถ้วย คือ การนำถ้วยผีบนหิ้งที่เชิญขึ้นไว้ตอนเช้า จำนวน ๓๘ ถ้วย นำมาฟ้อนเป็นรอบ ๆ เริ่มจาก รอบที่หนึ่งให้ลูกหลานและเครือญาติเป็นผู้ฟ้อนจำนวน ๖ คน ส่วนรอบที่สอง สาม สี่ และห้า เจ้าภาพเชิญแขกที่มาร่วมงานช่วยฟ้อนถ้วย ด้วยวิธีการนำผ้าคล้องคอ และโสร่ง ไปเชิญแขกผู้มาร่วมงานเพื่อแต่งตัวและฟ้อนกินถ้วยร่วมกัน จนครบ ๓๒ ถ้วย ส่วนวิธีการฟ้อนผีเม็งกินถ้วยนั้น ไม่มีการรับประทานอาหารจริง แต่ละครั้งใช้เพียงการดมกลิ่นอาหารในถ้วย ถือว่ารับประทานแล้ว จากนั้นจึงนำอาหารทิ้งลงบริเวณใต้ต้นดอกแก้ว (พิกุล) ทีละอย่างโดยเริ่มจากสวย (กรวย) ใบเกี๋ยงพะเม็ง ข้าวเหนียวจิ้มปลาแดดเดียว ไก่คั่วเม็ง ขนมแดง ขนมขาว ขนมเทียนเม็ง ขาวตอกเต็ก เนื้อมะเพร้าว ขนุนสุก มะม่วงสุก และกล้วยน้ำว้า จากนั้นทางเจ้าภาพเสิร์ฟมะพร้าวน้ำหอมทั้งลูกโดยเฉพาะมะพร้าวแจกให้ผู้ฟ้อนคนละลูกดื่ม ก่อนดื่มต้องเทน้ำมะพร้าวลงต้นดอกแก้วเล็กน้อย การฟ้อนผีเม็งกินถ้วยจบลงโดยที่ผู้เป็นตั้ง (หัวหน้าประกอบพิธี) นำดาบ ๒ เล่ม ไม้พอง ๒ ด้าม และใบดอกแก้ว ๒ กำ จากบนหิ้งผีปู่ย่า ออกมาให้ผู้ฟ้อนผีเม็งกินถ้วยได้ฟ้อน ถือเป็นการเฉลิมฉลองแสดงความยินดีที่ผีปู่ย่าบ้านเจ้าภาพได้รับประทานถ้วยผีและได้ฟ้อนรำ เล่นน้ำปีใหม่ ใช้ผู้ฟ้อนจำนวน ๒ คน เป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ได้ แต่ที่นิยมปฏิบัติก็คือ การให้ผู้หญิงสูงอายุเป็นผู้ฟ้อนโดยที่สมมุติว่าตนเองเป็นผีปู่กับผีย่า จะใส่โสร่งมีผ้าคล้องคอ โดยคนแรกจะใส่กุบ และสะพายเขาควายเพื่อเล่นน้ำปีใหม่ และคนที่สองจะถือสลุงและกระบวยเพื่อตักน้ำส้มป่อย โดยจะฟ้อนรอบต้นดอกแก้ว ๓ รอบก่อน แล้วจึงรดน้ำที่ผู้ร่วมงาน หอปู่ย่า และบริเวณหิ้งปู่ย่า แล้วเข้าผามเพื่อฟ้อนผีปู่ย่ากินข้าว ฟ้อนผีปู่ย่ากินข้าว ใช้ผู้ฟ้อนจำนวน ๒ คน เป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ได้ แต่ที่นิยมปฏิบัติก็คือ การให้ผู้หญิงสูงอายุเป็นผู้ฟ้อนโดยที่สมมุติว่าตนเองเป็นผีปู่กับผีย่า จุดประสงค์ของการฟ้อนผีปู่ย่ากินข้าว คือ การที่ลูกหลานทุกคนถวายอาหารให้แก่ ผีปู่ย่า ก่อนการรับประทานอาหารกลางวัน ซึ่งแสดงความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งอาหารที่ใช้ประกอบการฟ้อนผีปู่ย่ากินข้าวนั้น จะต้องประกอบไปด้วยอาหารสำคัญ คือ อาหารคาว คือ แกงขี้เหล็ก คั่วตับหมูคั่วหมี่เม็ง ยำสะนัด (ยำผักนึ่ง) คั่วหมี่กะทิ แกงฮังเลเม็ง ยำผักกาดดอง ลาบเม็ง (ลาบดิบและลาบสุก) แกงอ่อมไก่ ผัดฟักทอง (คั่วบะฟักแก้ว) แกงฟักเขียวใส่ไก่ (บะฟักหม่นใส่จิ้นไก่) น้ำพริกปลาร้า (น้ำพริกฮ้า) คั่วน้ำจิ้มส้ม แกงส้มตูนใส่ปลา แกงขนุนใส่ยอดสะเดา แกงมะรุม ยำแตงโมใส่ปลาช่อนแดดเดียวโขลก ยำมะกรุก (มะกอก) ยำมะม่วง และข้าวเหนียวนึ่งสุก อาหารทั้งหมดนี้จัดลงในขันข้าว (สำรับอาหาร) ส่วนการรับประทานใช้การแลกเปลี่ยนกันดมกลิ่นอาหาร เริ่มจาก ผู้ฟ้อนคนที่ ๑ การนำช้อนตักแกงขี้เหล็กให้ผู้ฟ้อนคนที่ ๒ ดมกลิ่น จากนั้นจึงเทลงในจานเปล่าที่วางไว้ข้างขันข้าว แล้วจึงนำข้าวเหนียวจิ้มอาหารและแลกเปลี่ยนกันดมกลิ่นจนครบอาหารทุกชนิด ถือว่าผีปู่ย่าได้กินแล้ว ผู้เป็นตั้งยกขันข้าวออกไปจากปะรำพิธี ผู้ช่วยตั้งเตรียมอาหารที่ใช้ประกอบการฟ้อนปัดฤกษ์ (ปัดเคราะห์) ผู้ฟ้อนจะฟ้อนออกนอกปะรำเพื่อเตรียมฟ้อนปัดฤกษ์ (ปัดเคราะห์) ต่อไป ฟ้อนปัดฤกษ์ (ปัดเคราะห์และโรคภัย) การฟ้อนปัดฤกษ์ใช้ผู้ฟ้อนชุดเดิมจากการฟ้อนผีปู่ย่ากินข้าว การฟ้อนนี้มีความเชื่อว่า เมื่อผีปู่ย่ากินอิ่มแล้ว จะคอยดูแลรักษาลูกหลานให้หายจากเคราะห์ภัยต่าง ๆ ด้วยการฟ้อนนี้มีอาหารที่ใช้ประกอบการฟ้อน ดังนี้ อาหารคาว ได้แก่ ข้าวเหนียวนึ่งสุก ซึ่งเหลือจากการจัดถ้วยผีในตอนเช้า นำมาปั้นขนาดพอคำ และจัดวางในถาดตามจำนวนลูกหลานที่เข้าร่วมในพิธี คนละ ๑ ปั้น อาหารหวาน มี ขนมแดง ขนมขาว และขนมเทียนเม็ง ขนมทั้ง ๓ ชนิดนี้จัดเป็นชุดส่วนวิธีการนำอาหารไปใช้มีวิธีการดังนี้ ผู้ฟ้อนปัดฤกษ์ คนที่ ๑ ถือดาบ ๒ เล่ม ส่วนคนที่ ๒ ถือใบดอกแก้ว ๒ กำ ผู้ช่วยตั้งนำอาหารใส่ลงในกระด้ง ลูกหลานเข้าร่วมพิธี ทีละ ๑ คน โดยนั่งเหยียดขาตรงหันขาออกนอกปะรำพิธี ผู้ช่วยตั้งนำกระด้งที่บรรจุอาหารเตรียมให้คนละ ๑ ชุด วางบริเวณปลายเท้า จากนั้นผู้ฟ้อนทั้ง ๒ คน นำอุปกรณ์การฟ้อนจุ่มลงในขันน้ำขมิ้นส้มป่อย และลูบไปตามศีรษะ แขน และขา จากนั้นผู้ฟ้อนตวัดดาบและใบดอกแก้วลงในกระด้ง ซึ่งถือว่าเป็นการนำเคราะห์ออกจากตัวลูกหลาน ทำเช่นนี้จำนวน ๓ ครั้ง จากนั้นผู้ช่วยตั้งจึงนำอาหารในกระด้งไปทิ้งบริเวณต้นดอกแก้ว พิธีจะสิ้นสุดที่การฟ้อนรอบต้นดอกแก้วด้วยดาบ และใบดอกแก้ว พิธีทำนายไก่ (เสี่ยงทาย)การทำนายไก่ หรือที่ชาวเม็งเรียกว่า ตายไก่ (ทำนายไก่) คือ การนำอาหารประเภทไก่นึ่งมาประกอบพิธีทำนายทายทัก ส่วนไก่ที่ใช้ทำไก่นึ่งมีจำนวน ๘ ตัว ก่อนนำมานึ่งนั้นต้องนำไก่มาผ่าท้องให้เห็นเครื่องในไก่ จากนั้นพับขาและปีกไก่ให้ไขว่ไปด้านหลัง ชาวเม็งเรียกขั้นตอนนี้ว่า แบไก่ พิธีการทำนายไก่เริ่มต้นขึ้น ผู้เป็นตั้ง (หัวหน้าผู้ประกอบพิธี) และผู้ช่วยนำไก่นึ่งทั้งหมดมาวางเรียงในถาด
ให้เจ้าภาพเลือกไก่ที่จะประกอบพิธีทำนาย ๑ ตัว จากนั้นจึงนำใบตองมาห่อไก่นึ่งเม็งที่เหลืออีก ๗ ตัวเพื่อใช้ประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น การจัดถ้วยผีเรือน จัดถ้วยผีนางน้อย และมอบให้ผู้เป็นตั้ง ผู้ช่วยและหัวหน้าคณะกลองการทำนายไก่นั้น จะเริ่มจากการจัดถาดไก่ ซึ่งภายในถาดประกอบไปด้วยไก่นึ่งเม็ง ๑ ตัว มะพร้าวน้ำหอม ๑ ลูก เฉาะมะพร้าวให้เรียบร้อย และแก้ว ๑ ใบ ก่อนเริ่มพิธีทำนายไก่ ลูกหลานทุกคนเข้ามานั่งกลางปะรำพิธี ผู้เป็นตั้งยกถาดไก่เข้ามาวางกลางปะรำพิธี จากนั้นจึงเชิญหัวหน้าคณะกลองนั่งกลางปะรำพิธี เจ้าภาพเทน้ำมะพร้าวใส่แก้วให้ผู้ทำนายดื่ม จากนั้นจึงเริ่มการทำนาย ฟ้อนผีกุลา (ไหว้ผีกุลา) แต่เดิมนั้นใช้ผู้ฟ้อนที่เป็นผู้หญิงชาวเม็งแท้ ๆ ชาวมอญที่มีตัวเล็กและผิวดำเป็นผู้ฟ้อนผีกุลา สวมชุดชาว ในการพิธีฟ้อนผีกุลามีอาหารประกอบการฟ้อน ดังนี้ ปลาแห้ง ข้าวเหนียวนึ่งสุก ข้าวตอกเต็ก กล้วยหยึก กล้วยน้ำว้า เนื้อมะพร้าวหั่นการจัดอาหารสำหรับถวายผีกุลานั้น ผู้เป็นตั้ง มีหน้าที่ในการจัดอาหารโดยนำอาหารทั้งหมดจัดลงในถ้วยแกงใบใหญ่ ซึ่งชาวเม็งเรียกถ้วยนี้ว่า ถ้วยผีกุลา ส่วนวิธีการนำอาหารไปใช้ประกอบการฟ้อนผีกุลา มีขั้นตอนดังนี้ลูกหลานทุกคนเข้านั่งด้านหน้าปะรำพิธีให้เต็ม รอการฟ้อนผีกุลาผู้ฟ้อนผีกุลาแต่งตัวด้วยชุดขาว ในมือมีดพับเล็ก จำนวน ๒ เล่มผู้ช่วยตั้ง นั่งด้านซ้ายของมุมปะรำพิธี พร้อมด้วยผีกุลา และเตรียมนำอาหารเสียบปลายมีดให้ร่างทรงผีกุลาเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ดนตรีบรรเลงเพลงจังหวะช้า ผู้ฟ้อนผีกุลาฟ้อนมีดพับให้ครบ ๔ ทิศ จำนวน ๑ รอบ แล้วเดินมาหาผู้ช่วยตั้ง ผู้ช่วยตั้งหยิบอาหารเสียบปลายมีด ตามลำดับดังนี้ ข้าวเหนียวนึ่งสุก กล้วยน้ำว้า เนื้อมะพร้าว กล้วยหยึก ขนมแดง ขนมขาว ขนมเทียนเม็ง ขนมข้าวตอกเต็ก และปลาแห้ง อาหารทั้งหมดนี้ จะนำมาฟ้อนถวายผีกุลา
ทีละอย่าง จากนั้นจึงนำมาให้ลูกหลานดมกลิ่นอาหาร ถือว่าลูกหลานทุกคนได้รับประทานแล้วขั้นตอนสุดท้ายของการฟ้อนผีกุลาจบด้วยการคาบปลาแห้งนำไปไว้บนเรือน ชาวเม็ง เรียกขั้นตอนนี้ว่า แมวคาบปลาแห้ง ซึ่งขณะที่คาบปลาแห้งวิ่งขึ้นบนเรือน ห้ามมิให้ผู้ใดกล่าวทักทายหรือนั่งขวางทางขึ้นบันไดบ้าน เพราะมีความเชื่อว่าโชคลาภ อาจจะหลุดลอยไป หรือแต่ห้ามไม่ให้ผู้ใดนำปลาแห้งออกจากห้องนอน ก่อนพิธีการฟ้อนผีเม็งจะจบลงทุกอย่างในตอนค่ำ ฟ้อนผีเจ้าเจียงใหม่ (ผีเจ้าเชียงใหม่) คือ การฟ้อนเพื่อรำลึกถึงผีปู่ย่าที่เป็นนักรบของชาวเม็งซึ่งเคยปกครองเชียงใหม่ ในครั้งที่พม่าปกครองเชียงใหม่อย่างยาวนาน สังเกตได้จากการแต่งกายแบบมอญโบราณด้วยการนุ่งโสร่ง มีผ้าโพกศีรษะ และสวมกูบ (หมวกนักรบโบราณ) เริ่มจากผู้ฟ้อนซึ่งเป็นชายหรือหญิงก็ได้ ๑ คน แต่งตัวตามที่กล่าวในข้างต้น จากนั้นฟ้อนออกนอกปะรำพิธีไปฟ้อนรอบต้นดอกแก้ว ๓ รอบ ผู้ช่วยตั้งแกะเมี้ยงออกจากห่อใบตอง นำไปถวายให้ผู้ฟ้อนผีเจ้าเจียงใหม่ ตามด้วยการจุดบุหรี่ขี้โย ถวายผู้ฟ้อนอีกครั้ง ผู้ฟ้อน ฟ้อนรอบต้นดอกแก้วอีก ๓ รอบ ผู้เป็นตั้งนำดาบจำนวน ๒ เล่ม บนหิ้งผีปู่ย่าออกมาให้ผีเจ้าเจียงใหม่ฟ้อน ซึ่งการฟ้อนดาบนี้จะแสดงถึงความยินดีที่ลูกหลานชาวเม็งทุกคนรำลึกถึงผีปู่ย่า ด้วยการจัดฟ้อนผีเม็งให้ในครั้งนี้เมื่อฟ้อนเสร็จจะฟ้อนปล่อย โดยจะให้ลูกหลานมาโหนผ้าเพื่อให้ผีปู่ย่าเข้าทรง และรำรอบต้นดอกแก้ว ฟ้อนปล่อยจะไม่กำหนดเวลาแน่นอนจะฟ้อนไปเรื่อย ๆ เมื่อถึงเวลาเหมาะสมจะ ฟ้อนผีสามตัวต่อไป ฟ้อนผีสามตัว (ผีพี่ผีน้อง) การฟ้อนผี ๓ ตัว หรือที่ชาวเม็งเรียกว่า ผีพี่น้อง เพราะมีความเชื่อว่า การฟ้อนผีพี่น้องนี้ประกอบไปด้วยผีพี่คนโต ผีน้องคนกลาง และผีน้องคนสุดท้อง หรือที่ชาวเม็งเรียกว่า ผีลูกหล้า การฟ้อนนี้ จะใช้ผู้ฟ้อนที่เป็นบุคคลในตระกูลเท่านั้น ซึ่งการฟ้อนจะแต่งกายแบบชาวเม็ง (มอญ) คือ นุ่งผ้าโสร่ง มีผ้าโพกศีรษะ และมีผ้าคล้องคอ ทัดดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม การฟ้อนผี ๓ ตัวนี้ มีขั้นตอน ๓ ขั้นตอน ดังนี้ การแลกเปลี่ยนดอกไม้ คือ การนำดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมซึ่งจัดเตรียมไว้บนหิ้งผีปู่ย่า เช่น
ดอกมะลิ ดอกเก็ดถะวา (พุดซ้อน) หรือดอกสะบันงา (กระดังงา) เป็นต้น นำไปฟ้อนรอบต้นดอกแก้ว และแลกเปลี่ยนกับผู้มาร่วมงาน จากนั้นนำกลับมาบูชาบนหิ้งผีปู่ย่าการแจกไก่ หลังจากแลกเปลี่ยนดอกไม้เสร็จลง ผู้เป็นตั้งจะนำสำรับอาหารเข้ามาในปะรำพิธี ๑ ชุด ซึ่งประกอบด้วยไก่นึ่งเม็ง ๑ ตัว ถ้วยผีใบใหญ่ ๑ ถ้วย ซึ่งภายในประกอบด้วยอาหารคาว มี ข้าวเหนียวนึ่งสุก จิ้มปลาแดดเดียว โขลก ๓ ปั้น ไก่คั่วเม็ง ๓ ชิ้น ส่วนอาหารหวานประกอบด้วย กล้วยหยึก หั่นตามความยาวของกล้วย ๓ ชิ้น ขนมขาว ขนมแดง และขนมเทียนเม็ง จัดเป็นชุด ๓ ชุด ขนมข้าวตอกเต็ก จำนวน ๓ ชิ้น สำหรับผลไม้ มีขนุนสุก จำนวน ๓ ชิ้น เนื้อมะพร้าวหั่น ๓ ชิ้น และกล้วยน้ำว้า ๓ ลูก มีมะพร้าวน้ำหอม ๑ ลูก เฉาะมะพร้าว ส่วนการนำอาหารไปใช้ประกอบการฟ้อนผี ๓ ตัวนั้น มีดังนี้ เริ่มจากผู้ฟ้อนจะฟ้อนรอบสำรับอาหาร จำนวน ๓ รอบ จากนั้นจึงนั่งล้อมวงยกถ้วยผีที่เตรียมไว้ให้ผู้ฟ้อนทั้ง ๓ คน ดมกลิ่นอาหารแล้วจึงเทน้ำมะพร้าวลงในแก้วให้ผู้ฟ้อนดื่มจนครบ ๓ คน จากนั้นจึงฉีกเนื้อไก่นึ่งเม็งแจกลูกหลานรับประทาน จากนั้นผู้เป็นตั้งยกสำรับอาหารออกนอกปะรำพิธี การปะแป้ง และเล่นสะบ้า หลังจากขั้นตอนการแจกไก่เสร็จสิ้นลงก็มาถึงขั้นตอนการละเล่นแบบชาวเม็งโบราณคือ การเล่นสะบ้า ซึ่งก่อนเล่นจะต้องแต่งตัวผู้ฟ้อนผี ๓ ตัว คือ จะใช้ดินสอพองผสมน้ำอบไทย ให้เข้ากัน และผู้ฟ้อนสลับกันปะแป้ง จากนั้นผู้เป็นตั้งนำกระจกและหวีให้ผู้ฟ้อนผี ๓ ตัว ได้ส่องและแสดงท่าทางหวีผม แล้วจึงนำแป้งไปปะแก้มลูกหลานและแขกผู้มาร่วมงานแล้วจึงเล่นสะบ้า การฟ้อนผี ๓ ตัว จบลงที่ผู้เป็นตั้งนำดาบ ๒ เล่ม ไม้พอ ๒ ด้าม และใบดอกแก้ว ๒ กำ นำมาให้ผู้ฟ้อนผี ๓ ตัว ฟ้อนรอบต้นดอกแก้ว ถือเป็นเสร็จพิธี ชนไก่ การชนไก่ เป็นการละเล่นของชาวเม็งซึ่งพบเห็นได้เฉพาะประเพณีฟ้อนผีเม็งเท่านั้น การฟ้อนชนไก่นั้น ใช้ผู้ฟ้อน ๒ คน เป็นชายหรือหญิงก็ได้สมมุติตัวเองว่าเป็นไก่ชนซึ่งต้องเลียนท่าทางของไก่ชน โดยที่นำผ้ามาม้วนเป็นเกลียวขมวดปมคล้ายหัวไก่ บริเวณเอวของผู้ฟ้อนชนไก่มีเดือดไก่ที่ทำจากรากไม้ผูกไว้ ก่อนการชนไก่ ผู้ฟ้อนจะแต่งกายด้วย การนุ่งโสร่ง มีผ้าโพกศีรษะ และผ้าคล้องคอทัดดอกไม้บริเวณ ซึ่งการชนไก่นี้จะชนบริเวณต้นดอกแก้ว หากฝ่ายใดสามารถแย่งผ้าจากอีกฝ่ายได้ถือเป็นผู้ชนะ ไก่ชนตัวที่ชนะจะได้ดมกลิ่นอาหารเป็นรางวัล แห่บอกไฟ บอกไฟของชาวเม็งคล้ายกับบั้งไฟของทางภาคอีสานบอกไฟชาวเม็งทำมาจากก้านกล้วย นำมาผูกรวมกันและตกแต่งด้วยดอกไม้พื้นบ้านที่มีกลิ่นหอม เช่น ดอกเอื้องผึ้ง ดอกกระดังงา และดอกมะลิ เป็นต้น วัตถุประสงค์ของการจุดบอกไฟของชาวเม็งเพื่อสงเคราะห์ภัยต่าง ๆ ให้หายไปกับบอกไฟ
การฟ้อนแห่บอกไฟ พิธีแห่บอกไฟต้องมีลักษณะดังนี้ กล้วย ๑ หวี มีจำนวนผลกล้วยไม่น้อยกว่า ๑๒ ลูก และผลอวบ อ้วน และใหญ่ คล้องช้างและถ่อแพ การคล้องช้างก็เป็นการละเล่น ของชาวเม็งโดยเจ้าภาพจัดหา ผู้ชายที่มีร่างกายอ้วน ตัวใหญ่เลียนท่าทางเป็นช้างป่า เพื่อให้ลูกหลานคล้องช้างให้ผีปู่ย่าไว้ใช้งาน การคล้องช้างจะประกอบพิธีบริเวณต้นดอกแก้ว โดยเชื่อว่าหากลูกหลานคนใดคล้องช้างได้จะได้โชคลาภก้อนใหญ่ ถือว่าช้างเป็นสัตว์ใหญ่ ในช่วงการคล้องช้างจะมีผู้ถือถ้วยช้างฟ้อนรอบต้นดอกแก้วเพื่อรอว่าลูกหลานคนใดสามารถคล้องช้างได้ เมื่อคนใดคล้องช้างได้ ผู้ถือถ้วยช้างจะนำถ้วยไปให้ลูกหลานคนนั้นดมกลิ่นอาหารเป็นรางวัลในการคล้องช้าง ให้ผีปู่ย่าได้ จากนั้นนำช้างเข้าปะรำพิธี ผู้คล้องช้างได้นำเงินที่ผูกด้วยด้ายสีแดงคล้องคอช้างและหยิบกล้วยน้ำว้าในถ้วยช้างปอกเปลือกให้ช้างกินเป็นอันเสร็จพิธี เมื่อคล้องช้างเรียบร้อยจะ “ถ่อแพ” เพื่อส่งผี แม่ตั้งจะนำกระด้งใส่ไม้พลอง ใบดอกแก้ว หลาวไม้ไผ่ หม้อน้ำร้า และเรือจำลองที่ทำจากกาบกล้วย ขณะเดียวกันดนตรีจะบรรเลงเพลง ผู้ชายสองคนจะสวมหมวก ใช้ไม้ถ่อแพหน้าผาม แม่ตั้งนำกระด้งคว่ำไว้ใต้ต้นดอกแก้ว คนถ่อแพหักไม้ไผ่โดยเหยียบ แล้วถอนต้นดอกแก้ว ฟ้อนผีเสือ ผีเสือเป็นผีที่ชาวเม็งให้ความนับถือและต้องประกอบพิธีตอนเย็นประมาณ ๑๘.๐๐ น. โดยผู้ฟ้อนเลียนแบบท่าทางของเสือ ซึ่งการฟ้อนผีเสือใช้อาหารประกอบการฟ้อน ๑ อย่าง คือ ปลาแห้ง จำนวน ๑ ตัว ส่วนวิธีการนำปลาแห้งไปใช้มีดังนี้ เริ่มจากผู้เป็นตั้งนั่งคุกเข่าใช้ผ้าคลุมศีรษะตัวเองไว้ ประปากคาบปลาแห้งไว้ ใช้มือตบพื้นไปมา ๓ ครั้ง จากนั้นลูกชายคนโตของตระกูลเปิดผ้าคลุมศีรษะผู้เป็นตั้งใช้ปากคาบปลาแห้งแล้วใช้มือดึงผ้ามาคลุมศีรษะตัวเองหันหลังวิ่งออกนอกบริเวณปะรำพิธี แต่ไม่ต้องนำปลาแห้งขึ้นไปไว้บนเรือน ซึ่งปลาแห้งนี้จะนำไปประกอบอาหารคาว ประเภทแกง เช่น แกงถั่วฝักยาว หรือแกงมะรุม นำแกงไปถวายพระสงฆ์ตามวัดที่ตระกูลเป็นศรัทธาอยู่ จากนั้นจึงนำแกงมาแบ่งให้พี่น้องในตระกูลรับประทาน เพื่อความเป็นสิริมงคลต่อไปฟ้อนผีเม็งตะวันตก การฟ้อนผีเม็งตะวันตก เป็นการฟ้อนผีก่อนตะวันจะลาจากฟากฟ้า ซึ่งจะเริ่มฟ้อนประมาณ ๑๘.๐๐ น. การฟ้อนผีเม็งตะวันตกนี้มีเพียงแห่งเดียว ณ บ้านเม็งช้างม่อยเท่านั้น ซึ่งถือปฏิบัติกันมาแต่ครั้งโบราณ การฟ้อนผีเม็งตะวันตกเป็นการฟ้อนเพื่อถวายอาหารอีก ๑ ชุดใหญ่ ก่อนการฟ้อนผีเม็งจะจบลง เพื่อแสดงออกถึงความกตัญญูต่อผีปู่ย่า การจัดอาหารเพื่อประกอบการฟ้อนผีเม็งตะวันตกนั้น เจ้าภาพต้องเตรียมขันโตก จำนวน ๗ โตก เพื่อจัดอาหารถวาย ซึ่งการจัดมีขั้นตอนดังนี้ ก่อนการจัดอาหารจะต้องใช้ใบตองรองขันโตก จากนั้นจึงตักอาหารวางบนใบตอง เริ่มจากอาหารคาว คั่วผักบุ้งเต่า และไก่คั่วเม็ง อย่างละ ๑ ทัพพี ตามด้วยอาหารหวาน ขนมขาว ขนมแดง ขนมเทียนเม็ง และข้าวตอกเต็ก จัดวางในขัน อย่างละ ๓ ชิ้น ส่วนกล้วยหยึก หั่นตามความยาวของกล้วย จัดวางในขันโตกประมาณ ๔ ชิ้น ผลไม้ นำกล้วยหอมทองที่แบ่งเตรียมไว้ข้างต้น จัดวางในขันโตก ๑ ชุด พร้อมมะพร้าว ๑ ลูก อาหารที่กล่าวมาในข้างต้นจัดไว้ภายในขันโตกเดียวกันเป็นอย่าง ๆ ไม่ปะปนกัน โดยการจัดอาหารในขันโตกขันที่ ๑ จะมีอาหารอย่างละ ๑ ชุด ขันโตกขันที่ ๒ จะมีอาหารอย่างละ ๒ ชุด และเพิ่มขึ้นขันละ ๑ ชุด ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งขันโตกที่ ๗ มีอาหารอย่างละ ๗ ชุด ส่วนการนำอาหารไปใช้ประกอบการฟ้อนผีเม็งตะวันตกนั้น ใช้ผู้ฟ้อนจำนวน ๗ คน โดยการนำขันโตกทั้ง ๗ ขัน มาเรียงบนเสื่อ เริ่มจากขันโตกขันที่ ๑ ไปจนถึงขันโตกขันที่ ๗ ผู้ฟ้อนแต่งกายแบบมอญโบราณ นุ่งผ้าโสร่ง มีผ้าโพกศีรษะ มีผ้าคล้องคอ และทัดดอกไม้หอม ฟ้อนรอบขันโตกของตัวเอง ๓ รอบ จากนั้นดมกลิ่นอาหารทุกอย่าง แล้วจึงแจกอาหารในขันโตกให้แก่ลูกหลานและแขกผู้มาร่วมงานรับประทาน สุดท้ายผู้เป็นตั้ง (หัวหน้าผู้ประกอบพิธี) ฟ้อนดาบรอบขันโตก ผู้ฟ้อนทุกคนคว่ำขันโตกลงถือเป็นอันเสร็จพิธี และฝ่ายชายช่วยกันรื้อปะรำให้เสร็จพิธีเลี้ยงผีนางน้อย ผีนางน้อยเป็นผีของภรรยาน้อยของเจ้าเมืองเม็ง (มอญ) ซึ่งหากจะดูตามยศศักดิ์แล้วคงเทียบได้กับยศเจ้าจอมของเจ้าเมืองเม็ง ในสมัยโบราณซึ่งผีนางน้อยนี้มีลักษณะแตกต่างจากผีอื่น ๆ ที่ประกอบพิธีเลี้ยงผี ดังนี้การถวายอาหารแก่ผีนางน้อยจะต้องถวายตอนกลางคืนประมาณ ๒ ทุ่ม และผีนางน้อยมีนิสัยขี้อาย เวลาถวายอาหารแก่ผีนางน้อยต้องปิดไฟในบ้านให้หมดช่วงเวลาที่ประกอบพิธีนั้น คนในบ้านจะต้องไปรวมกันอยู่ในบ้าน ห้ามส่งเสียงดังในขณะที่ถวายอาหารบริเวณหอผีห้ามไม่ให้ผู้ใดแอบดู เพราะมีความเชื่อว่า ผู้ที่แอบดูนั้นจะกลายไปเป็นผีกะ ส่วนวิธีการจัดอาหารสำหรับถวายผีนางน้อยนั้น นิยมจัดใส่กาละมังขนาดกลาง นำอาหารที่กล่าวมาข้างต้นจัดใส่กาละมัง ซึ่งชาวเม็งเรียกกาละมังนี้ว่า ถ้วยผีนางน้อยสำหรับวิธีการนำอาหารไปถวายผีนางน้อย มีขั้นตอนดังนี้จุดเทียนและเทน้ำมะพร้าว ๒ ลูก บริเวณหน้าหอผีจนหมด ยกถ้วยผีนางน้อยวางบนหอผี ช่วงนี้ห้ามคนแอบดูอย่างเด็ดขาด จากนั้นนำถ้วยผีขึ้นบนเรือน ขณะนั้นภายในบ้านปิดไฟฟ้าทุกดวง และทุกคนไปรวมกันอยู่ในบ้าน ห้ามส่งเสียงดัง ผู้เป็นตั้งและผู้ช่วย นำถ้วยผีนางน้อยมายังหน้าประตูทางเข้าบ้าน และตะโกนเรียกหาเจ้าของบ้าน ๓ ครั้ง โดย ๒ ครั้งแรก ห้ามเจ้าของบ้านตอบกลับให้ฟังเงียบ ๆ พอถึงครั้งที่ ๓ จึงขานรับ ซึ่งคำพูดที่เรียกหาเจ้าของบ้านนั้น มีดังนี้ ครั้งที่ ๑ “บ้านนี้มีใครอยู่ไหม” ครั้งที่ ๒ “บ้านนี้มีใครอยู่บ้าง” ครั้งที่ ๓ “บ้านนี้มีใครอยู่บ้าง ขอให้ออกมารับของดี ของกิน กรุณาช่วยเปิดประตูรับของหน่อย เพราะเดินทางมาไกลจากเมืองม่าน เมืองเม็ง ช่วยเปิดประตูด้วยเทอญ” (พูดเป็นคำเมือง) เจ้าของบ้านเปิดประตูรับถ้วยผีนางน้อยและนำไปเก็บไว้ในห้องนอน ๓ วัน ซึ่งถือว่าเป็นของดีจะนำพาความสุข ความเจริญมาสู่ลูกหลานทุกคนบทส่งท้ายการฟ้อนผีเม็ง เป็นพิธีกรรมที่มีหน้าที่ต่อสังคม นับว่าเป็นภูมิปัญญาอันชาญฉลาดของบรรพบุรุษที่สามารถนำสิ่งอยู่เหนือธรรมชาติ และเข้าถึงได้ยาก โดยใช้พิธีกรรมการเข้าทรง ด้วยจังหวะอันเร่งเร้าและกระชั้นชิดของดนตรี ผสานเข้ากับการร่ายรำด้วยความศรัทธาต่อผีปู่ย่าอย่างเปี่ยมล้นย่อมสามารถเหนี่ยวนำจิตใจเพื่อติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อันหมายถึงผีปู่ย่า เป็นที่น่าเสียดายที่นับวันพิธีกรรมดังกล่าวจะเลือนหายไปพร้อมกับสังคมที่เปลี่ยนแปลง ความล่มสลายของระบบความเชื่อเรื่องผี และวัฒนธรรมชาวนา ส่งผลกระทบต่อพิธีกรรมดังกล่าว ระบบความเชื่อเรื่องผียังปรากฏในหลายตระกูล เป็นพิธีกรรมที่ทรงคุณค่าต่อสังคม จึงสมควรที่จะได้ช่วยกันรักษาไว้อย่างเข้าใจ ก่อนที่พิธีกรรมต่าง ๆ จะหมดไปจากสังคมล้านนาบรรณานุกรมจวน เครือวิชฌยาจารย์. ๒๕๔๓. ประเพณีมอญที่สำคัญ. กรุงเทพฯ : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร.นเรศร์ จิตรักษ์. ๒๕๔๘. ๓๔ ปีอนุสาวรีย์พระเจ้ากาวิละ. หนังสือพิมพ์ไทยนิวส์ , ฉบับที่ ๑๒๙๑๑, ๒๕๔๘.ปราณี วงษ์เทศ. ๒๕๔๙. เพศสภาวะในสุวรรณภูมิ (อุษาคเนย์). กรุงเทพฯ : มติชน.วิธูร บัวแดง. ๒๕๓๗. รำผีมอญฟ้อนผีเม็ง. เอกสารอัดสำเนา : สถาบันราชภัฎเชียงใหม่.สมพงศ์ วิทยศักดิ์พันธุ์. ๒๕๔๑. ถิ่นที่อยู่คนไทยในจังหวัดเชียงใหม่. เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.สมหมาย เปรมจิตต์. ๒๕๑๘. รายชื่อวัดและนิกายสงฆ์โบราณในเชียงใหม่. เชียงใหม่: คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.สุทธิพงค์ พัฒนวิบูลย์. ๒๕๔๙. อาหารที่ใช้ในการฟ้อนผีเม็ง. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาโภชนศาสตร์ศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.สุรพล ดำริห์กุล. (๒๕๔๒). ล้านนา สิ่งแวดล้อม สังคม และ วัฒนธรรม. กรุงเทพฯ : รุ่งอรุณพับลิชชิ่ง.
[1] บทความนี้ปรับปรุงมาจาก บทความเรื่องยลอดีตบ้านช้างม่อย ย้อนรอยฟ้อนผีเม็ง : การศึกษาฟ้อนผีเม็งในอำเภอเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเคยตีพิมพ์ในวารสาร ข่วงผญา ฉบับที่ ๖ ของสถาบันภาษา ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่.
1 มกราคม 2557 |
12142